ดาวโจนส์ปิดร่วง 266.19 จุด หลังหุ้นพลังงาน-หุ้นแบงก์ดิ่งหนัก

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (27 ต.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงของหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ปิดทรงตัว หลังจากบริษัทอัลฟาเบทและไมโครซอฟท์เปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3

  • ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,490.69 จุด ลดลง 266.19 จุด หรือ -0.74%
  • ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,551.68 จุด ลดลง 23.11 จุด หรือ -0.51% และ
  • ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,235.84 จุด เพิ่มขึ้น 0.12 จุด หรือ 0.00%

หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง 2.86% หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงกว่า 2% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ดิ่งลง 3.98% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 2.6% หุ้นเชฟรอน ดิ่งลง 1.79% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ร่วงลง 2.79%

ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลง 1.69% หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีและ 30 ปีร่วงลงเมื่อคืนนี้ ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการทำกำไรของภาคธนาคารในสภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ลดลง 1.59% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 1.92% หุ้นเจพีมอร์แกน ดิ่งลง 2.05% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ร่วงลง 1.55% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ร่วงลง 1.12%

หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ ปรับตัวลง 0.86% หลังเมอร์คอนุญาตให้บริษัทยาทั่วโลกสามารถผลิตยาโมลนูพิราเวียร์โดยไม่เรียกเก็บค่ารอยัลตี ซึ่งจะทำให้บริษัทสูญเสียรายได้จำนวนมาก

ทั้งนี้ องค์การสิทธิบัตรยา (MPP) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาชาติ (UN) เปิดเผยวานนี้ว่า MPP ได้บรรลุข้อตกลงด้านสิทธิบัตรยากับบริษัทเมอร์ค และบริษัทริดจ์แบ็ค ไบโอเทราพิวติกส์ โดยบริษัททั้งสองจะอนุญาตให้บริษัทยาทั่วโลกผลิตยาโมลนูพิราเวียร์เพื่อให้ประเทศยากจนสามารถเข้าถึงยาดังกล่าว นอกจากนี้ บริษัทเมอร์คและบริษัทริดจ์แบ็คจะไม่เรียกเก็บค่ารอยัลตีจากบริษัทที่ผลิตยาโมลนูพิราเวียร์ ตราบใดที่องค์การอนามัยโลก (WHO) มีความเห็นว่าโรคโควิด-19 ยังคงถือเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ

หุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 1.53% หลังโบอิ้งเปิดเผยตัวเลขขาดทุน 60 เซนต์/หุ้นในไตรมาส 3 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 20 เซนต์/หุ้น โดยได้รับผลกระทบจากปัญหาในการผลิตเครื่องบินรุ่น 787 Dreamliners ซึ่งทำให้บริษัทต้องชะลอการส่งมอบเครื่องบินรุ่นดังกล่าว

หุ้น Robinhood ซึ่งเป็นบริษัทโบรกเกอร์ออนไลน์ที่ให้บริการซื้อขายหุ้นผ่านแอปพลิเคชั่นโดยไม่คิดค่าธรรมเนียม ปิดตลาดร่วงลง 10.44% หลังบริษัทเปิดเผยรายได้ 365 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 431.5 ล้านดอลลาร์ โดยได้รับผลกระทบจากการดิ่งลงของวอลุ่มการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล

อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ปิดทรงตัว หลังจากบริษัทอัลฟาเบทและไมโครซอฟท์เปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด โดยหุ้นอัลฟาเบทปิดตลาดพุ่งขึ้น 4.96% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 อยู่ที่ระดับ 27.99 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ของ Refinitiv คาดการณ์ไว้ที่ 23.48 ดอลลาร์/หุ้น

หุ้นไมโครซอฟท์ พุ่งขึ้น 4.21% หลังบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 1 ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 30 ก.ย. 2564 เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.532 หมื่นล้านดอลลาร์ จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 3.715 หมื่นล้านดอลลาร์ และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 4.397 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนจากความต้องการที่สูงขึ้นในด้านบริการคลาวด์

หุ้นโคคา-โคล่า ดีดตัวขึ้น 1.95% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 ที่ระดับ 65 เซนต์/หุ้น สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 58 เซนต์/หุ้น

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ลดลง 0.4% ในเดือนก.ย. โดยได้รับผลกระทบจากการร่วงลงของยอดสั่งซื้อรถยนต์และเครื่องบิน

นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2564 (ประมาณการเบื้องต้น), ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนก.ย., รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนก.ย., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนก.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ต.ค. 64)

Tags: , , ,