ผู้ว่า ธปท.แนะเร่งปรับตัวรับกระแสดิจิทัล-ESG วางรากฐานศก.เติบโตยั่งยืน หลังผ่านโควิด

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงมาตรการช่วยเหลือและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยยุคโควิดว่า ในการปรับตัวที่จำเป็นต่อการวางรากฐานในอนาคตให้เศรษฐกิจไทยและธุรกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะข้างหน้า มีหลายเรื่องที่เป็นกระแสใหม่ แต่จะมีอย่างน้อย 2 กระแสที่มาแรงและเร็ว ซึ่งทุกภาคส่วนต้องเตรียมรับมือ คือ

  1. กระแสเรื่องดิจิทัลที่เริ่มเห็นการใช้เทคโนโลยีต่างๆ อาทิ การใช้ดิจิทัลฟุตปริ้นท์ในการทำธุรกิจที่ชัดเจนขึ้น การเกิดนวัตกรรม รวมถึงมีผู้เล่นรายใหม่ที่เข้ามามีบทบาทเรื่องดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งการเตรียมความพร้อมในการรองรับกระแสดิจิทัลนี้เป็นโจทย์สำคัญ
  2. กระแสเรื่อง ESG โดยเฉพาะเรื่องสิ่งแวดล้อม ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบเร็วและแรงกว่าที่คาด ไม่ใช่แค่เรื่องภาวะโลกร้อนที่ทำให้เกิดภัยแล้งหรือน้ำท่วม แต่จะรวมถึงผลกระทบต่อภาคธุรกิจจากการออกนโยบายต่างๆ เพื่อบรรเทาปัญหาเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนของประเทศพัฒนาแล้ว เช่น กรณีสหภาพยุโรปออก European Green Deal ซึ่งจะมีการบังคับใช้ Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) ซึ่งจะคล้ายกับภาษีที่จัดเก็บตาคาร์บอนฟุตปริ้นท์ของสินค้าต่างๆ

“ถ้าเราไม่ปรับตัว เช่น สินค้าส่งออกยังมีคาร์บอนฟุตปริ้นท์มาก เราก็จะได้รับผลกระทบมากเช่นกัน ดังนั้น 2 กระแสนี้จึงเป็นตัวอย่างของสิ่งที่จะมากระทบกับทุกภาคส่วน ซึ่งทุกฝ่ายต้องปรับตัว ปรับรูปแบบ และกระบวนการทำงาน เพื่อให้สามารถรองรับกระแสดังกล่าว ซึ่งนับวันจะยิ่งมีบทบาทต่อการดำเนินธุรกิจมากขึ้น ที่สำคัญเราจะต้องออกจากวิกฤตนี้ด้วยแผลเป็นที่น้อยที่สุด เพื่อให้มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งในการปรับตัวรองรับกระแสโลกใหม่ได้ดีขึ้น” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว

สำหรับภาคธุรกิจ ภายใต้บริบทที่ปัจจัยภายนอกมีความไม่แน่นอนสูง การวางแผนทางการเงิน การบริหารความเสี่ยง การดำเนินกิจการหรือการลงทุนใหม่จะต้องให้น้ำหนักมากขึ้นกับกระแสโลกใหม่ ทั้งการให้ความสำคัญกับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง และกระแสเรื่องดิจิทัลที่จะทำให้ธุรกิจต้องแข่งขันกันมากขึ้น

ในส่วนของประชาชน ต้องเตรียมรับความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อาทิ เร่งวางแผนทางการเงิน จัดเตรียมเงินสำรองสำหรับใช้จ่ายในยามฉุกเฉิน รวมไปถึงการให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ทางการเงินมากขึ้น ขณะเดียวกันต้องเพิ่มความสำคัญกับการเท่าทันกับกระแสดิจิทัล เพราะนอกจากจะเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับงานในโลกใหม่แล้ว ยังช่วยป้องกันการหลอกลวงในรูปแบบต่างๆ ที่อาจมีเพิ่มขึ้นได้

ในส่วนของระบบธนาคารพาณิชย์ นอกจากจะมีหน้าที่ดูแลให้ลูกหนี้ผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ไปได้แล้ว สิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน คือ การปรับตัวเพื่อรองรับบริบทใหม่ๆ และต้องจัดสรรทรัพยากรในระบบเศรษฐกิจให้เป็นไปในรูปแบบที่สอดคล้องกับกระแสของอนาคตที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของ green และ ESG มากขึ้น อาทิ การผนวกเรื่อง ESG เข้าไปตลอดกระบวนการให้สินเชื่อ การเปิดเผยข้อมูลเรื่องการดำเนินการด้านความยั่งยืน รวมถึงการมีนโยบายขององค์กรที่ให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้อย่างชัดเจน

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ธปท.ในฐานะที่เป็นผู้กำกับดูแลระบบธนาคารพาณิชย์ และทำหน้าที่ดูแลเสถียรภาพระบบการเงินของประเทศก็ต้องปรับตัวอย่างน้อย 3 ด้าน คือ 1.การดูแลให้บรรยากาศในภาคการเงินเอื้อต่อการเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงการปรับกฎเกณฑ์ต่างๆ ไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจและประชาชน 2.การเพิ่มสมดุลระหว่างการเอื้อให้มีนวัตกรรมใหม่หรือมีผู้เล่นรายใหม่ กับการดูแลให้ระบบการเงินยังสามารถสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้และมีเสถียรภาพ และ 3.การให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาการเข้าถึงบริการทางการเงินของประชาชนและ SMEs ที่ยังเป็นจุดอ่อนสำคัญของระบบการเงินไทย

ภาครัฐเองต้องปรับตัวไปสู่การเป็นผู้อำนวยความสะดวก โดยเฉพาะการปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจของเอกชนมากขึ้น และในการแก้ปัญหาวิกฤตโควิดนี้ ภาครัฐได้ดำเนินนโยบายแบบ countercyclical เพื่อเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจเช่นกัน ซึ่งล่าสุดได้ขยายเพดานหนี้สาธารณะให้สูงขึ้นเป็น 70% แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะดูแลสถานการณ์ให้ได้มากขึ้นและต่อเนื่อง แต่ต้องใส่ใจกับการใช้งบประมาณที่เพิ่มขึ้น ให้มีประสิทธิภาพ และโปร่งใส เพื่อให้เศรษฐกิจกลับไปเติบโตอย่างเต็มศักยภาพได้ยั่งยืน

ที่ผ่านมาภาค อุตสาหกรรมเป็นกลไกสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ หากย้อนกลับไปช่วงยุคทองของเศรษฐกิจไทยเมื่อ 15 ปีก่อนวิกฤตปี 2540 เศรษฐกิจไทยโตเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 8% ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตในช่วงนั้นคือ ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจีดีพีภาคอุตสาหกรรมโตเกือบ 10% และสัดส่วนการลงทุนต่อจีดีพีของประเทศสูงถึง 34% แต่ใน 10 ปีที่ผ่านมาระบบเศรษฐกิจเติบโตลดลงมาเฉลี่ยไม่ถึง 3% ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมการเติบโตที่ 2% และสัดส่วนการลงทุนต่อจีดีพีเหลือไม่ถึง 25%

“ยุคที่เศรษฐกิจไทยเฟื่องฟู เป็นยุคที่ภาคอุตสาหกรรมเข้มแข็ง ช่วยขับเคลื่อนการลงทุนและเศรษฐกิจ รวมถึงความมั่งคั่งของประชาชน ดูได้จากการเติบโตของค่าจ้างในภาคอุตสาหกรรมในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาที่โต 4% เทียบกับค่าเฉลี่ยของภาพรวมของประเทศที่ 2% แต่ก่อนที่เศรษฐกิจจะกลับไปเข้มแข็งได้ จะต้องก้าวผ่านวิกฤตโควิด และปูรากฐานให้ภาคอุตสาหกรรมในยุคหลังโควิดเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว

ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าวิกฤตโควิดเป็นวิกฤตที่หนัก ส่งผลกระทบในวงกว้างและแรง ทั้งต่อภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน โดยตัวเลขจีดีพีติดลบมากที่สุดในรอบ 22 ปี เป็นรองแค่ปี 2541 แต่ตัวเลขจีดีพีอาจยังไม่สะท้อนผลกระทบในวงกว้างที่ภาคธุรกิจและประชาชนต้องเผชิญจากโควิด ซึ่งในรอบนี้นับได้ว่าเป็นวิกฤตที่ส่งผลกระทบแรงอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

ภาคบริการโดยเฉพาะการท่องเที่ยว เป็นตัวอย่างหรือจุดที่สะท้อนความรุนแรงของปัญหาที่เจอได้ดี ในช่วงก่อนโควิดมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาประเทศไทยปีละ 40 ล้านคน แต่ล่าสุดปีนี้จนถึงเดือนกรกฎาคมมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเพียง 6 หมื่นคน เรียกได้ว่ารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปเกือบทั้งหมด และจากผลสำรวจของ ธปท.ในเดือนสิงหาคม 2564 ที่ผ่านมาพบว่าผู้ประกอบการโรงแรมถึง 65% จะมีสภาพคล่องในการทำธุรกิจได้ไม่เกิน 3 เดือน ทำให้หลายรายต้องปิดกิจการชั่วคราว และบางส่วนที่สู้ไม่ไหวต้องประกาศขายกิจการ

ขณะที่ภาคการผลิตก็ได้รับผลหนักเช่นกัน โดยเฉพาะในช่วงระลอกแรกที่มีการประกาศล็อกดาวน์ ทำให้การผลิตในไตรมาส 2 ปี 2563 ต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี และการระบาดระลอกล่าสุดก็กลับมากระทบการผลิตอีกครั้ง โดยเฉพาะการผลิตเพื่อขายในประเทศ นอกจากนี้การผลิตเพื่อส่งออกก็ถูกกระทบจากปัญหาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น การขาดแคลนชิปหรือตู้คอนเทนเนอร์ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงาน เช่น การทำ Bubble and Seal ที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น เห็นได้จากตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิตที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 3.5% เทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมาที่ 0.5% ขณะที่ต้นทุนนี้ยังส่งผ่านไปยังผู้บริโภคไม่มาก สะท้อนจากราคาฝั่งขายที่ปีนี้เฉลี่ยอยู่เพียง 0.7%

นอกจากภาคธุรกิจที่ถูกกระทบหนักแล้ว ภาคครัวเรือนก็ได้รับผลกระทบหนักเช่นกัน คือ การจ้างงาน ที่ถูกกระทบอย่างรุนแรง โดยจากข้อมูลการจ้างงานในไตรมาส 2 ปีนี้ จำนวนผู้ว่างงานและเสมือนว่างงาน (ผู้เสมือนว่างงาน คือ มีงานทำแต่ไม่ถึง 4 ชั่วโมงต่อวัน) รวมกันอยู่ที่ประมาณ 3.5 ล้านคน เทียบกับแรงงานทั้งหมดที่ 39 ล้านคน ถือเป็นสัดส่วนที่ไม่น้อย ส่วนผู้ว่างงานระยะยาว คือ เกิน 1 ปี อยู่ที่เกือบ 2 แสนคน เพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนโควิดถึงกว่า 3 เท่าตัว นอกจากนี้ยังเห็นแรงงานย้ายกลับภูมิลำเนาเดิมจากการถูกเลิกจ้าง โดยล่าสุดในเดือนสิงหาคมมีจำนวน 2 ล้านคน สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ผ่านมาที่ 5 แสนคน

ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า ภายใต้ผลกระทบที่หนักและเป็นวงกว้าง บทบาทสำคัญอย่างแรกของ ธปท. คือ ต้องดูแลให้ระบบการเงินและระบบสถาบันการเงินทำงานได้ตามปกติ เพื่อหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจให้ไปต่อได้ เพราะธนาคารพาณิชย์มีบทบาทสำคัญในการให้สินเชื่อแก่ภาคธุรกิจ และไทยก็เป็นประเทศที่พึ่งพาระบบธนาคารพาณิชย์ค่อนข้างสูง เห็นได้จากตัวเลขสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ 14 ล้านล้านบาท เทียบกับสินเชื่อที่มาจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ที่ 5 ล้านล้านบาท คิดเป็นเพียงประมาณ 1 ใน 3 ของระบบธนาคารพาณิชย์ และแม้ในช่วงหลัง ภาคเอกชนจะระดมทุนผ่านการออกตราสารหนี้เพิ่มขึ้น แต่ยอดคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนอยู่ที่เพียง 3 ล้านล้านบาท สะท้อนว่าเครื่องยนต์สำคัญที่จะหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจและระบบการเงินก็คงหนีไม่พ้นธนาคารพาณิชย์

“ในภาวะที่มีความเสี่ยงสูงและเศรษฐกิจที่หดตัวนี้ โอกาสที่ธนาคารพาณิชย์จะหุบร่ม หรือไม่ปล่อยสินเชื่อจะมีสูง ดังนั้นเพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลามและแรงไปกว่าเดิม หน้าที่สำคัญของ ธปท. คือ ทำให้ระบบธนาคารพาณิชย์ทำงานได้ต่อเนื่อง ใกล้เคียงกับภาวะปกติ” ผู้ว่าการ ธปท.กล่าว

ที่ผ่านมา ระบบธนาคารพาณิชย์ยังทำงานได้ดีระดับหนึ่งจาก 3 เหตุผล คือ 1.สินเชื่อยังโตใกล้เคียงกับก่อนโควิด สะท้อนจากสินเชื่อใหม่ในเดือนกรกฎาคม 2564 ของระบบธนาคารพาณิชย์ที่โต 4% ใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิดที่ประมาณ 4% เช่นกัน ซึ่งการขยายตัวของสินเชื่อที่ 4% นี้ คิดเป็นเม็ดเงินสินเชื่อใหม่กว่า 5 แสนล้านบาท 2.สินเชื่อยังโตได้ดีแม้ในภาวะวิกฤต หากเทียบกับบริบทของเศรษฐกิจในอดีต จะเห็นว่าปกติสินเชื่อจะขยายตัวสูงในช่วงที่จีดีพีขยายตัวได้ดี แต่ปีนี้ที่เศรษฐกิจน่าจะโตไม่ถึง 1% ขณะที่ระบบธนาคารพาณิชย์ยังสามารถให้สินเชื่อใหม่ได้ที่ 4% จึงเป็นสัญญาณว่าระบบยังทำงานได้ดี และ 3.สินเชื่อของไทยยังโตได้มากกว่าประเทศในภูมิภาค แม้ไทยถูกกระทบจากโควิดหนักที่สุดและฟื้นช้ากว่าประเทศอื่น

“สินเชื่อของไทยที่โต 4% ขณะที่อินโดนีเซียหดตัว 1.7% ฟิลิปปินส์หดตัว 0.9% และสิงคโปร์ขยายตัว 1.4% มีเพียงมาเลเซียที่มีอัตราขยายตัวใกล้เคียงกับไทย ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณที่สะท้อนว่า ระบบธนาคารพาณิชย์ยังไม่หุบร่ม ซึ่งถือว่าประสบผลสำเร็จระดับหนึ่ง” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว

นอกจากเรื่องสินเชื่อใหม่ ยังมีเรื่องการดูแลภาระหนี้เดิม ซึ่งธนาคารพาณิชย์ได้ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ภายใต้มาตรการต่างๆ ของ ธปท. มาต่อเนื่อง โดยลูกหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือภายใต้มาตรการเพิ่มขึ้นไปสูงสุด ณ เดือนกรกฎาคม 2563 กว่า 6 ล้านบัญชี เป็นยอดหนี้กว่า 4 ล้านล้านบาท ซึ่งถ้าเทียบกับสินเชื่อทั้งหมดในระบบธนาคารพาณิชย์ที่ 14 ล้านล้านบาทถือว่าเป็นสัดส่วนไม่น้อย และในปัจจุบันจำนวนลูกหนี้ทั้งหมดภายใต้มาตรการมีอยู่เกือบ 3 ล้านบัญชี

หากเทียบกับปัญหาที่รุนแรงและสะสมมานานจากวิกฤตครั้งนี้ การปล่อยสินเชื่อและช่วยเหลือลูกหนี้โดยกลไกปกติของธนาคารพาณิชย์ แม้จะทำมาได้ดี แต่ก็ยังไม่เพียงพอและไม่ทั่วถึงเท่าที่ควร ที่ผ่านมาจึงไม่ได้พึ่งพากลไกตลาดเพียงอย่างเดียว แต่มีบทบาทของภาครัฐเข้าไปเสริม หรือไปอุดในบางจุดที่ระบบธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถทำหน้าที่ได้เต็มที่ เพื่อเพิ่มความช่วยเหลือให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยได้ดำเนินนโยบายแบบ countercyclical ที่ในช่วงเศรษฐกิจซบเซา ต้องเป็นนโยบายที่ผ่อนปรนเกณฑ์ต่างๆ ให้เหมาะกับบริบทที่กำลังเผชิญในปัจจุบัน เพื่อลดโอกาสที่ธนาคารพาณิชย์จะหุบร่ม รวมทั้งดูแลสภาพคล่องในระบบการเงินและภาวะการเงินให้ผ่อนคลายต่อเนื่อง ไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมทั้งได้ปรับลด FIDF fee ให้กับสถาบันการเงิน เพื่อส่งผ่านต้นทุนที่ลดลงนี้ไปช่วยลดภาระต่อให้ลูกหนี้ โดยเราเห็นอัตราดอกเบี้ยในตลาด เช่น m-rates ลดลงประมาณ 0.5-0.7% เทียบกับก่อนโควิด ซึ่งช่วยลดภาระหนี้ของภาคธุรกิจและประชาชนได้

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า จุดที่ระบบธนาคารพาณิชย์ยังทำหน้าที่ได้ไม่ดีเท่าที่ควร คือ การช่วยเหลือ SMEs ซึ่งสำหรับสินเชื่อใหม่ถูกเสริมด้วยการออกมาตรการเฉพาะ เช่น พ.ร.ก. สินเชื่อฟื้นฟูฯ เพื่อให้ระบบธนาคารพาณิชย์ให้ความช่วยเหลือ SMEs ได้มากขึ้น โดยใช้การค้ำประกันผ่าน บสย.มาช่วยลดความเสี่ยงได้ส่วนหนึ่งแม้จะยังไม่เพียงพอ แต่อย่างน้อยเริ่มเห็นสินเชื่อ SMEs ขยายตัวกลับมาเป็นบวกได้ จากเดิมที่ติดลบมาตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด โดยล่าสุดในเดือนกรกฎาคม สินเชื่อ SMEs ขยายตัวเพิ่มขึ้น 1% ซึ่งหากไม่มีผลของมาตรการดังกล่าว สินเชื่อ SMEs จะยังติดลบที่ 1%

นอกจากนี้ ภาครัฐยังใช้กลไก SFIs มาเสริมในการสนับสนุนสภาพคล่องให้กับระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ SMEs โดยสินเชื่อ SFIs ขยายตัวกว่า 4% ซึ่งมีทั้งโครงการที่ดำเนินการตามมติ ครม. รวมถึงโครงการที่ SFIs ดำเนินการเองที่ปล่อยเม็ดเงินไปแล้วอีกกว่า 3 แสนล้านบาท ตั้งแต่ช่วงเกิดสถานการณ์โควิดเป็นต้นมา และในจุดที่มาตรการ ธปท.ไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ได้ปรับวิธีการ engage เพิ่มเติมด้วยการเข้าไปรับฟังความเห็นจากผู้ประกอบธุรกิจผ่านสมาคมต่างๆ รวมถึงสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยด้วย อีกทั้งยังเป็นตัวกลางในการประสานความช่วยเหลือระหว่างภาคธุรกิจและธนาคารพาณิชย์ในการสนับสนุนสินเชื่อฟื้นฟู และประสานกับ SFIs ในส่วนของสินเชื่อโครงการรัฐ เช่น Lineman X Wongnai กับธนาคารออมสิน เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องธุรกิจร้านอาหารและกลุ่มไรเดอร์ที่ได้รับผลกระทบ และในระยะต่อไปจะขยายความช่วยเหลือไปยังผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบในธุรกิจอื่นๆ

ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า ที่ดำเนินการไปทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่า เราทำพอแล้ว ธปท.ไม่ได้นิ่งนอนใจ และพร้อมจะออกหรือปรับมาตรการเพิ่มเติมตามความจำเป็น ตัวอย่างที่เห็นชัดเจน คือ พ.ร.ก.ซอฟท์โลนที่ ธปท. และภาครัฐได้เร่งออกมาเพื่อแก้ปัญหาในช่วงระบาดระลอกแรก แต่เมื่อพบข้อจำกัด จึงได้ออกมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูเพิ่มเติม ซึ่งสามารถให้สภาพคล่องแก่ธุรกิจ SMEs ได้เกิน 100,000 ล้านบาท ภายใน 4 เดือน เร็วกว่าที่ตั้งเป้าไว้ที่ 6 เดือน และแม้จะเป็นไปตามเป้าแล้ว ล่าสุดยังได้ปรับเงื่อนไขเพิ่มเติมเพื่อสอดรับกับบริบทที่เจออยู่ เช่น ปรับรูปแบบการค้ำประกัน เพื่อให้สินเชื่อไปถึงกลุ่มเสี่ยงมากยิ่งขึ้น และลดโอกาสที่กลุ่มนี้จะเข้าไม่ถึงสินเชื่อ

นอกจากปรับเรื่องสินเชื่อใหม่ มาตรการดูแลหนี้เดิมก็มีออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจที่แตกต่างกันและยืดเยื้อ ทำให้มาตรการลักษณะที่เป็นการพักหนี้หรือปรับโครงสร้างหนี้ระยะสั้นๆ ไม่ตอบโจทย์และไม่เอื้อให้เกิดการปรับตัว ดังนั้น ธปท.จึงได้ออกมาตรการแก้หนี้ระยะยาว เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ช่วยเหลือลูกหนี้ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาวให้เหมาะกับปัญหา โดยให้ลูกหนี้จ่ายหนี้ให้สอดคล้องกับรายได้ที่ลดลงมากในช่วงนี้ และช่วยเหลือเพิ่มเติมนอกเหนือไปจากการขยายเวลาชำระหนี้ รวมทั้งต้องเร่งช่วยลูกหนี้ให้ได้จำนวนมากและเร็ว โดย ธปท.จะติดตามดูแลการช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์อย่างใกล้ชิด

ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นความช่วยเหลือจากกลไกของระบบธนาคารพาณิชย์ กลไก SFIs และกลไกเสริมจาก ธปท.ก็คงยังจะมีคำถามจากหลายฝ่ายว่า เมื่อรวมกันทั้งหมดแล้ว มีเพียงพอ ทั่วถึงทุกคน หรือช่วยเท่าที่ทุกคนต้องการแล้วหรือไม่ ซึ่งต้องยอมรับว่าไม่ได้ทั้งหมด ด้วยวิกฤตที่หนัก กว้าง และรุนแรงขนาดนี้ เราต้องจัดสรรทรัพยากรของประเทศที่มีจำกัดไปช่วยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนัก แต่มีโอกาสที่จะพลิกฟื้นและกลับมาดำเนินธุรกิจต่อไปได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ในทางกลับกัน หากจัดสรรทรัพยากรไปใช้อย่างไม่ถูกจุด ผู้เดือดร้อนหนักอาจไม่ได้รับความช่วยเหลือเพียงพอ และอาจส่งผลให้กลไกของระบบธนาคารพาณิชยไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติ เราจะเห็นการหุบร่มแทนจะที่เห็นการปล่อยสินเชื่อเพิ่ม เราจะเห็นการเรียกหนี้คืนจากธนาคารพาณิชย์ หรือการขายลูกหนี้หรือทรัพย์ออกไปนอกธนาคารพาณิชย์ในราคา force sale ดังเช่นที่เกิดขึ้นในวิกฤตปี 2540 ซึ่งจะทำให้ผลกระทบยิ่งขยายเป็นวงกว้าง

“การดูแลช่วยเหลือลูกหนี้จึงจำเป็นต้องรักษาสมดุลระหว่างการบรรเทาผลกระทบต่อลูกหนี้ กับการดูแลเสถียรภาพและการทำงานของระบบการเงินให้ดำเนินต่อไปได้ มิเช่นนั้น ผลกระทบจะกว้าง ยาว และหนักกว่าที่เราประสบในปัจจุบัน” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว

แม้การดูแลช่วยเหลือลูกหนี้จะไม่ได้ทำให้ลูกหนี้รอดทุกคน แต่สิ่งที่ ธปท.อยากเห็น คือ การทำให้ลูกหนี้รอดมากที่สุด ดังนั้นบทบาทสำคัญของ ธปท.จึงเป็นการออกแบบมาตรการ ปรับกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่เอื้อหรือสนับสนุนให้สถาบันการเงินสามารถจัดสรรทรัพยากรไปช่วยเหลือลูกหนี้ได้มากขึ้น และยังมีฐานะแข็งแกร่ง เพราะด้วยหน้าที่หลักของ ธปท. คือ การกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน รวมถึงให้ธนาคารพาณิชย์สามารถสนับสนุนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจได้ต่อเนื่อง แต่เราไม่ใช่เจ้าของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งแตกต่างจากกรณีแบงก์รัฐที่มีรัฐเป็นเจ้าของ รัฐสามารถเพิ่มทุน และกำหนดให้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือตามนโยบายของรัฐได้

ขณะเดียวกันธนาคารพาณิชย์เองก็ถือเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องดูแลความมั่นคงของธุรกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อ stakeholder ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้ ซึ่งสำหรับธนาคารพาณิชย์ก็คือ ผู้ฝากเงิน หรือเจ้าของ ซึ่งก็คือผู้ถือหุ้น ดังนั้นการดำเนินการใดๆ จึงต้องคำนึงถึงสิทธิและผลกระทบนี้ด้วย ทำให้ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความต้องการและความจำเป็นในแง่มุมต่างๆ อย่างรอบคอบ เพื่อให้เศรษฐกิจในภาพรวมยังเดินต่อไปได้

มาตรการต่างๆ ของ ธปท.ทั้งหมดเป็นการเน้นให้ความช่วยเหลือแก่ธุรกิจ ประชาชนรายย่อย และเศรษฐกิจโดยรวม ให้สามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤตนี้ไปได้มากที่สุด แต่แน่นอนว่าคงไม่เพียงพอสำหรับระยะข้างหน้าที่ธุรกิจจะเผชิญกับความท้าทายและต้องเติบโตให้ได้อย่างยั่งยืนในโลกใหม่ ซึ่ง ธปท.ก็พร้อมที่จะมีมาตรการเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนและจูงใจให้ทุกฝ่ายสามารถปรับตัวในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ได้อย่างราบรื่นและทันการณ์

“เราเคยผ่านวิกฤตที่หนักหน่วงมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตปี 2540 วิกฤตการเงินโลกปี 2551 วิกฤตน้ำท่วมปี 2554 และมาถึงวิกฤตรอบนี้ ซึ่งได้กล่าวไปแล้วว่าหนักกว่ารอบก่อนๆ แต่ภาคอุตสาหกรรมไทยจะผ่านพ้นไปได้อีกครั้ง เพราะมีความเข้มแข็ง สามารถปรับตัวได้เร็ว เห็นได้จากปีที่แล้ว ในช่วงล็อคดาวน์ที่ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงจากระดับก่อนโควิดถึง 20% แต่สามารถฟื้นกลับมาได้ใน 4 ไตรมาส เช่นเดียวกับช่วงน้ำท่วมปี 2554 ที่ดัชนีฯ ลดลงถึงเกือบ 30% แต่สามารถฟื้นกลับมาได้ภายใน 2 ไตรมาส จึงเชื่อว่า ท้ายที่สุดเราจะผ่านพ้นจากวิกฤตนี้ไปได้ แต่จะพ้นอย่างไร” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว

หากจะพ้นจากวิกฤตนี้ในแบบที่ให้คนรอดมากที่สุด ลดแผลเป็นให้เหลือน้อยที่สุด สิ่งสำคัญไม่ใช่เพียงแค่แต่ละภาคส่วนทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจในบทบาทและข้อจำกัดของกันและกัน เพื่อไม่ให้เกิดเส้นแบ่งว่าปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป็นของลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ ลูกจ้างหรือนายจ้าง รายเล็กหรือรายใหญ่ เพราะทุกคนต่างก็ได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย และแต่ละคนก็อยู่ในหลายบทบาท มีหมวกหลายใบที่ต้องสวม เช่น ถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจ SMEs ก็อาจเป็นลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ แต่ขณะเดียวกันก็อาจเป็นเจ้าหนี้การค้า และเป็นนายจ้างของลูกจ้างด้วย ดังนั้นการหันหน้าเข้าหากัน การประนีประนอมกันมากขึ้น และมองให้รอบด้าน จะทำให้เราเห็นทางออกในการก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกันได้อีกครั้ง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ก.ย. 64)

Tags: , ,