หุ้นไทยปิดบวก 11.80 จุด ฟื้นตัวแรงหลังคลายกังวลปัญหาเอเวอร์แกรนด์-ลุ้นประชุมเฟด

SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,614.86 จุด เพิ่มขึ้น 11.80 จุด (+0.74%) มูลค่าการซื้อขาย 83,910.37 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯ เผยตลาดหุ้นไทยวันนี้กลับมาปรับตัวขึ้นหลังวานนี้ปรับตัวลงแรงหลังรับรู้ปัญหาหนี้ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของจีน เชื่อปัญหาไม่ลุกลามเป็นวิกฤตเหมือนเลห์แมน บราเธอร์ส ส่วนประชุมเฟดสัปดาห์นี้ ตลาดคาดจะเฟดปรับลด QE Tapering โดยคาดวงเงินที่ปรับลด 2 หมื่นล้านเหรียญ หากตัวเลขน้อยกว่าที่คาดจะเป็นบวกกับตลาด แนวโน้มตลาดวันพรุ่งนี้คาดจะปรับตัวขึ้นต่อโดยมีกลุ่มแบงก์และประกันได้อานิสงส์จากการปรับลด QE และรัฐบาลเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะ ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรทั้งไทยและต่างประเทศปรับตัวสูงขึ้น ให้แนวต้านที่ 1,620-1,627 จุด แนวรับที่ 1,605 จุด

  • ตลาดหลักทรัพย์ ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,614.86 จุด เพิ่มขึ้น 11.80 จุด (+0.74%) มูลค่าการซื้อขาย 83,910.37 ล้านบาท
  • การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนลบช่วงต้นชั่วโมงซื้อขายและกลับมาบวกเกือบทั้งวัน โดยดัชนีทำระดับสูงสุด 1,618.19 จุด และระดับต่ำสุด 1,591.81 จุด
  • ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 1,060 หลักทรัพย์ ลดลง 693 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 546 หลักทรัพย์

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้กลับมาฟื้นตัวขึ้นหลังวานนี้ปรับตัวลงแรง ส่วนหนึ่งมองว่า ปัญหาหนี้ไชน่า เอเวอร์ แกรนด์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่อันดับที่ 2 ของจีนกระทบระยะสั้นแต่ปัญหาไม่ได้ถึงขนาดลุกลามเป็นวิกฤต เหมือนเลห์แมน บราเธอร์ส

ส่วนการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)จะทราบผลในเช้าวันที่ 23 ก.ย.ตามเวลาของไทย โดยตลาดคาดว่า เฟดจะส่งสัญญาณปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE Tapering) มองว่าอาจไม่เป็นลบ ซึ่งขึ้นกับขนาดวงเงินที่ปรับลดลงซึ่งตลาดคาดปรับลดลง 2 หมื่นล้านเหรียญ ถ้าออกมาน้อยกว่าที่คาดก็เป็นบวกกับตลาดเพราะเป็นการส่งสัญญาณว่ากว่าจะปรับลดวงเงิน QE ให้หมดก็ต้องใช้เวลากว่าที่จะเข้าสู่การปรับขึ้นดอกเบี้ย จึงทำให้มีบรรยากาศการลงทุนเป็นบวก

แนวโน้มตลาดในวันพรุ่งนี้ นายกิจพณ คาดว่ายังมีโอกาสฟื้นต่อ เพราะตลาดรับรู้ข่าวปัญหาหนี้เอเวอร์ แกรนด์แล้ว และการประชุมเฟดไม่น่าจะมี surprise คาดว่าหุ้นกลุ่มแบงก์และกลุ่มประกันได้รับปัจจัยบวกจากการปรับลด QE รวมทั้งรัฐบาลได้ปรับเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะไม่เกิน 70% ก็ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตร(Bond Yield) ทั้งของไทยและต่างประเทศปรับตัวสูงขึ้น

อย่างไรก็ดี SET ต้องยืนเหนือระดับ 1,620 จุดให้ได้ ถ้ายืนไม่ได้มีโอกาสลงไปต่ำกว่าที่ 1,585 จุด ให้แนวต้านที่ 1,620-1,627 จุด แนวรับที่ 1,605 จุด

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่

DELTA มูลค่าการซื้อขาย 4,006.48 ล้านบาท ปิดที่ 498.00 บาท ลดลง 58.00 บาท

SCB มูลค่าการซื้อขาย 3,103.35 ล้านบาท ปิดที่ 107.50 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท

PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,271.19 ล้านบาท ปิดที่ 39.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท

KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,139.48 ล้านบาท ปิดที่ 121.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท

AOT มูลค่าการซื้อขาย 2,105.96 ล้านบาท ปิดที่ 62.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ก.ย. 64)

Tags: , ,