หุ้นไทยปิดลบ 3.64 จุด เผชิญปัจจัยเสี่ยงจาก Valuation สูง-โควิดระบาดยืดเยื้อ

SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,587.79 จุด ลดลง 3.64 จุด (-0.23%) มูลค่าการซื้อขาย 83,598.85 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯเผยตลาดหุ้นไทยวันนี้อ่อนตัวลง ขณะที่ตลาดในเอเชียแกว่งบวก-ลบ ส่วนตลาดในยุโรปเทรดบ่ายนี้ติดลบเกือบ 1% มองหลังผ่านครึ่งปีแรกไปแล้ว ทิศทางไตรมาส 3/64 มีปัจจัยเสี่ยงจากการตึงตัวของหุ้น จาก Valuation ที่สูง ขณะที่ผลดำเนินงานยังไม่หล่อเลี้ยง และยังต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ยืดเยื้อ-การฉีดวัคซีนโควิดก็อยู่ในอัตราที่ต่ำ ส่งผลให้อาจต้องมีการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจ ส่งผลให้นักลงทุนไม่ไล่ซื้อหุ้นให้สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ทั้งนี้มองกรอบดัชนี SET ในครึ่งปีหลังไว้ที่ 1,450-1,643 จุด จะเห็นได้ว่า Downside มีมากกว่า ตลาดฯจึงแกว่งลง พรุ่งนี้ตลาดฯคงจะแกว่งในกรอบแนวรับ 1,580-1,565 แนวต้าน 1,600 จุด ทั้งนี้ดัชนีไม่ควรหลุด 1,565 มิฉะนั้นจะเสียภาพเชิงบวกไป และกรอบการเก็งกำไรก็จะถอยไปด้วย พร้อมให้ติดตามการประชุมกลุ่มโอเปกที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้

  • ตลาดหลักทรัพย์ ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,587.79 จุด ลดลง 3.64 จุด (-0.23%) มูลค่าการซื้อขาย 83,598.85 ล้านบาท
  • การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยดัชนีทำระดับสูงสุด 1,600.57 จุด และระดับต่ำสุด 1,584.47 จุด
  • ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 542 หลักทรัพย์ ลดลง 1,018 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 441 หลักทรัพย์

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้อยู่ในทิศทางที่อ่อนตัวลง ขณะที่หุ้นในภูมิภาคเอเชียวันนี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ ส่วนตลาดในยุโรปเทรดบ่ายนี้ติดลบเกือบ 1% ทั้งนี้ มองว่าหลังจากที่ได้ผ่านครึ่งปีแรก (H1/64) ไปแล้ว ทิศทางตลาดในไตรมาส 3/64 มีปัจจัยเสี่ยงจากการตึงตัวของหุ้นต่าง ๆ ของตลาดทั่วโลก จาก Valuation ที่สูงขณะที่ผลดำเนินงานยังไม่หล่อเลี้ยง และขณะนี้ในเอเชียก็เผชิญการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ยืดเยื้อ และการฉีดวัคซีนโควิดก็อยู่ในอัตราที่ต่ำ ดังนั้นการเติบโตของผลประกอบการอาจไม่สูงอย่างที่ตลาดคาดกัน ทำให้อาจจะต้องมีการปรับประมาณการเศรษฐกิจในเอเชียลง ส่งผลให้นักลงทุนไม่ไล่ซื้อหุ้นให้สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ

สำหรับตลาดบ้านเราก็มีความเสี่ยงที่จะปรับฐานในไตรมาส 3/64 ได้ด้วยเช่นกัน เพราะบ้านเราก็เผชิญกับการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ยืดเยื้อ และรอบนี้ก็มีความเสี่ยงมากที่อาจจะเป็นระลอก 4 จากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดที่ยังอยู่ในระดับที่สูงอยู่ ซึ่งได้มองกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนี SET ในครึ่งปีหลังไว้ที่ 1,450-1,643 จุด จะเห็นได้ว่า Upside มีไม่มาก ขณะที่ Downside มีมากกว่า ดังนั้นตลาดฯจึงมีโอกาสที่จะแกว่งลง แต่ก็สามารถเล่นเก็งกำไรหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยบวกได้ โดยหากดัชนีฯลงมาแถว 1,500 จุด หรือต่ำกว่า ก็สามารถเพิ่มน้ำหนักลงทุนได้ ทั้งนี้จะต้องลุ้นให้ดัชนีฯผ่านระดับ 1,600-1,610 จุดให้ได้ก่อน

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (1 ก.ค.) นายกิจพณ กล่าวว่า ตลาดฯคงจะแกว่งตัวในกรอบแนวรับ 1,580-1,565 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,600 จุด ทั้งนี้ดัชนีไม่ควรหลุด 1,565 จุด มิฉะนั้นจะเสียภาพเชิงบวกไป และกรอบการเก็งกำไรก็จะถอยไปด้วย พร้อมให้ติดตามการประชุมกลุ่มโอเปกที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจับตาจะมีการส่งสัญญาณหนุนให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นไปได้หรือไม่

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่

  • KCE มูลค่าการซื้อขาย 3,587.59 ล้านบาท ปิดที่ 77.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.25 บาท
  • SCGP มูลค่าการซื้อขาย 2,693.18 ล้านบาท ปิดที่ 62.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.25 บาท
  • HANA มูลค่าการซื้อขาย 2,318.39 ล้านบาท ปิดที่ 71.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท
  • RCL มูลค่าการซื้อขาย 2,226.60 ล้านบาท ปิดที่ 55.00 บาท ลดลง 1.50 บาท
  • KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,127.40 ล้านบาท ปิดที่ 118.00 บาท ลดลง 0.50 บาท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 มิ.ย. 64)

Tags: , , , , , ,