เสรีพิศุทธ์ จวก 7 ปีรัฐบาลยอดกู้ท่วม ใช้งบปรนเปรอกองทัพไม่สนประชาชนเดือดร้อน

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย อภิรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม โดยตั้งคำถามว่าเป็นรัฐบาลมา 7 ปียังไม่พออีกหรือ พร้อมกับเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีพฤติการณ์บริหารราชการแผ่นดินโดยไม่สุจริต ฉ้อฉล กู้เงินเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการสืบทอดอำนาจ จัดงบประมาณโดยไม่เข้าใจปัญหาของประเทศและประชาชน ปรนเปรอแต่กองทัพเพื่อใช้เป็นฐานค้ำจุนอำนาจ รวมทั้งปฏิบัติหน้าที่โดยใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ไม่สนใจชีวิตความเป็นอยู่และความทุกข์ยากของประชาชน นอกจากนี้ ยังใช้กฎหมายและอาวุธที่ซื้อจากภาษีประชาชนเป็นเครื่องมือข่มขู่ปราบปรามประชาชน และลิดรอนสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน

พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งงบประมาณเกินดุลในทุกปี และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้กู้เงินมาแล้วกว่า 5,308,000 ล้านบาท สูงถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กู้เงินทั้งหมด 1,300,000 ล้านบาท และสูงเป็น 8.5 เท่าเมื่อเทียบกับรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กู้เงิน 621,860 ล้านบาท

โดยเงินที่กู้มาส่วนหนึ่ง รัฐบาลได้นำมาบริหารประเทศ แต่ส่วนหนึ่งก็นำไปใช้ประโยชน์ในการสืบทอดอำนาจ โดยใช้ในการซื้อเสียงล่วงหน้า ด้วยการออกโครงการต่างๆ เพื่อเอาใจประชาชน เช่น โครงการคนละครึ่ง โครงการเราเที่ยวด้วยกัน โครงการ ม.33 เรารักกัน เป็นต้น ซึ่งถือเป็นการนำงบประมาณมาใช้โดยไม่เกิดประโยชน์แก่ประชาชนที่เดือดร้อนจริงๆ

ทั้งนี้ กระทรวงที่ควรจะได้รับการจัดสรรงบประมาณที่มากขึ้น เพื่อดูแลประชาชนในสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างกระทรวงกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงสาธารณสุข ที่มีหน้าที่จัดหา ดูแลประชาชนให้ได้รับปัจจัย 4 ทั้ง ยา อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่อาศัย กลับได้รับการจัดสรรงบประมาณที่น้อยกว่ากระทรวงกลาโหม โดยอ้างว่าต้องนำงบประมาณไปจัดซื้อยานพาหนะ เพื่อใช้ในการเตรียมพร้อมสู้รบกับประเทศอื่นๆ เช่น เรือดำน้ำ รถถัง เครื่องบิน เป็นต้น จึงถือเป็นการปรนเปรอแต่กองทัพเพื่อใช้เป็นฐานค้ำจุนอำนาจของตน ท่ามกลางเสียงคัดค้านว่าไม่จำเป็น สุดท้ายนายกรัฐมนตรีคงทนกระแสสังคมไม่ไหว จึงสั่งให้ถอนออกไปก่อน จึงตั้งข้อสงสัยวารัฐบาลผ่านงบจัดซื้ออาวุธนี้เป็นฐานค้ำจุนอำนาจและมีเงินทอนมาด้วยหรือไม่

นอกจากนี้ ได้มีการเกณฑ์ทหารจำนวนมาก โดยในปี 64 มีการเกณฑ์ทหารจำนวน 97,558 คน โดยเป็นการเกณฑ์ทหารเพื่อใช้ในหน่วงานต่างๆ ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องในหน้าที่ เช่น มีการนำทหารไปทำงานที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม 783 คน เป็นต้น

“ปกติมนุษย์เรา ต้องการปัจจัย 4 ถ้ามีการตั้งงบประมาณเพื่อสิ่งเหล่านี้ ประชาชนก็สามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ แต่พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ตั้งงบประมาณไปหาประชาชน เพราะอะไร เพราะมันมีเงินทอน ท่านรู้ดี ตั้งงบประมาณต่างๆ ก็อาจตั้งงบประมาณเผื่อโจรด้วยหรือไม่ อย่างเรื่องการขุดน้ำ ก็มีการตั้งงบประมาณและอาจมีเงินทอน ถามว่ากระทรวงไหนดูแลปัจจัย 4 บ้าง อย่างกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ต้องทำอย่างไรประชาชนมีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม แล้วยารักษาโรคก็เป็นของกระทรวงสาธารณสุข แต่งบประมาณกลับไปอยู่ที่ไหน กลับไปอยู่กระทรวงกลาโหม ฟาดเรียบเลย”

“คุณประยุทธ์ ยึดอำนาจปี 57 ทำงบปี 58 งบกลาโหมอยู่อันดับ 3 เลย ตอนนี้งบประมาณกลาโหม ก็อยู่อันดับ 4 ตลอด กลาโหมมีผลงานอะไร อย่างกระทรวงสาธารณสุข ควรต้องได้งบมาดูแลสุขภาพประชาชน กระทรวงกลาโหมได้งบฯ กว่า 2 แสนล้านบาท สาธารณสุขได้งบฯ กว่าแสนล้านเท่านั้น หรืองบฯ พม.ก็มีน้อยกว่ามาก…มาดูที่งบกลางปีนี้มีกว่า 1.5 แสนล้าน ทำไมต้องนำงบประมาณมาอยู่ที่งบกลาง ที่ให้นายกฯ ใช้ไปกว่า 5 แสนล้าน แล้วตรวจสอบได้หรือไม่” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว

พร้อมอภิปรายด้วยว่า รัฐบาลชุดนี้ยังปฏิบัติหน้าที่โดยใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ไม่สนใจชีวิตความเป็นอยู่ และความทุกข์ยากของประชาชน ตามมาตรา 47 บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐ วรรคสามที่ว่าด้วยเรื่องบุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกัน และขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่รัฐบาลชุดนี้กลับให้ประชาชนออกค่าใช้จ่ายในการรับมือ ดูแล ป้องกันโรคโควิด-19 ด้วยตนเอง ทั้งการซื้อหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ ชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) เป็นต้น ซึ่งการจัดหาอุปกรณ์เหล่านี้ต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาล จึงอยากเรียกร้องให้ประชาชนทุกคนที่ต้องจัดหาอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยตนเองแจ้งความดำเนินคดีที่สถานีตำรวจเพื่อเอาผิดแก่รัฐบาลชุดนี้

นอกจากนี้ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันที่เริ่มลดลงนั้นไม่ใช่ตัวเลขจริง เนื่องจากยังมีผู้ป่วย และผู้เสียชีวิตอีกจำนวนมากที่รอการรักษา และดูแลจากรัฐ เนื่องจากระบบสาธารณสุข ทั้งเตียง สถานพยาบาล ยังมีคนไข้รอรับบริการจำนวนมากอยู่ นอกจากนี้เมื่อเกิดโรคระบาดก็ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน และการประกอบอาชีพ ทั้งธุรกิจที่เริ่มปิดตัว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร สายการบิน ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น

รัฐบาลยังใช้กฎหมายและอาวุธที่ซื้อจากภาษีประชาชนเป็นเครื่องมือข่มขู่ปราบปรามประชาชนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ทั้งการใช้แก๊สน้ำตา รถฉีดน้ำ รวมทั้งกระสุนยาง ปราบปรามผู้ชุมนุม รวมไปภึงการลิดรอนสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน เช่นการออกข้อกำหนดไม่ให้นำเสนอข่าวและให้ดำเนินคดีตามมาตรา 9 แห่งพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งที่นายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจ และไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นการปฎิบัติตนที่ไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนใดปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน

“พฤติกรรมต่างๆ ของนายกรัฐมนตรี เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และผิดกฎหมาย จึงไม่มีความเหมาะสมในการปฎิบัติหน้าที่นี้อีกต่อไป” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 ส.ค. 64)

Tags: , , , ,