โบรกฯเชียร์ ซื้อ PTG เล็งผลงาน H2/64 ดีขึ้นหลังปูพรมฉีดวัคซีนหนุนศก.ฟื้นตัว

โบรกเกอร์ต่างเชียร์ “ซื้อ” หุ้น บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) แนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง (H2/64) ดีกว่าครึ่งปีแรก (H1/64) หลังทยอยฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้มากขึ้น หนุนให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว ส่งผลดีต่อความต้องการใช้น้ำมันให้ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงธุรกิจ Non-oil ก็จะปรับตัวดีขึ้น สอดคล้องไปกับธุรกิจหลัก ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟพันธุ์ไทย, คอฟฟี่ เวิลด์, ร้านสะดวกซื้อ Max Mart ที่ต่างได้รับผลบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ขณะที่คาดส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม (โครงการ Palm Complex) ก็คาดว่าจะมีอัตรากำไรที่ดีขึ้นในครึ่งปีหลังนี้ ตามความต้องการใช้น้ำมันไบโอดีเซล

หุ้น PTG ปิดเช้าที่ 19.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท (+1.59%) ขณะที่ดัชนี SET ปิดเช้าบวก 0.49%

โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
เอเชีย เวลท์ ซื้อ 23.60
ฟิลลิป ซื้อ 24.30
ทิสโก้ ซื้อ 24.50
ดีบีเอส วิคเคอร์ส ซื้อ 25.00
เคทีบีเอสที ซื้อ 25.00
โนมูระ พัฒนสิน ซื้อ 24.00

นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชีย เวลท์ กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังของ PTG จะดีกว่าครึ่งปีแรก หลังจากได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2/64 ซึ่งจะเห็นได้ว่าในเดือนมิ.ย.นี้ การทำงานจากที่บ้านก็เริ่มเบาบางลง การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ก็มีความคืบหน้ามากขึ้น หากมีการระดมฉีดวัคซีนได้วันละ 3-4 แสนคน ก็น่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นในระยะถัดไป

ทั้งนี้ แนวโน้มผลประกอบการ ไตรมาส 2/64 ยังถูกกดดันจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศที่ยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลงทั้งภาคขนส่ง และภาคท่องเที่ยว โดยคาดว่าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันจะทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่ภาพรวมทั้งปียังประเมินไว้ว่าจะเติบโตราว 9-10%

ด้านธุรกิจ Non-oil แบ่งเป็น ร้านกาแฟพันธุ์ไทยจะยังเติบโตได้ จากการออกสินค้าใหม่ และมุ่งเน้นการทำตลาดที่มากขึ้น ส่วนคอฟฟี่ เวิลด์ คาดว่ารายได้จะยังคงลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากสาขาที่ให้บริการส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในสนามบินและห้างสรรพสินค้าที่ยังได้รับผลกระทบจากโควิด-19

ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซล (B100) คาดอัตรากำไรในไตรมาส 2/64 จะปรับตัวดีขึ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า หลังราคาปาล์มเดือน เม.ย.-พ.ค.64 อยู่ที่ระดับ 5-6 บาทต่อกิโลกรัม แม้ว่าจะเป็นช่วงที่มีผลปาล์มออกสู่ตลาดจำนวนมาก จากไตรมาส 1/64 บริษัทได้รับส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Palm Complex ที่ 77.7 ล้านบาท ลดลง 54.4% จากปีก่อน และลดลง 51.2% จากไตรมาสแรก เนื่องจากราคาปาล์มปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 6-7 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ต้นทุนของปาล์มสูงขึ้น อัตรากำไรจึงลดลง

อย่างไรก็ตาม คาดว่าส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Palm Complex จะกลับมาหนุนกำไรให้เติบโตในช่วงครึ่งปีหลังนี้ จากความต้องการใช้น้ำมันไบโอดีเซล ภายหลังการแพร่ระบาดเริ่มคลี่คลายและมีการฉีดวัคซีนอย่างแพร่หลาย โดยยังคาดว่า ปี 64 ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมจะอยู่ที่ 311 ล้านบาท รวมถึงอาจเห็นบริษัทจำหน่ายน้ำมันปาล์มเพื่อบริโภคในช่วงไตรมาส 3/64

“ธุรกิจน้ำมันคาดจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย, ธุรกิจ Non-oil อย่าง ร้านกาแฟพันธุ์ไทย เริ่มกลับมาเติบโต และธุรกิจ LPG ภาคครัวเรือน ที่ยังมีโอกาสเติบโตได้สูง และธุรกิจใหม่ อย่างบริการ EV Charging ที่มี 5 สถานีบริการ โดยที่ผ่านมามีรถยนต์เข้าใช้บริการแล้วกว่า 500 คัน จึงคาดว่าจะเริ่มเห็นกำไรใน อนาคต ส่วนธุรกิจโรงไฟฟ้าขยะ อยู่ระหว่างรอทางภาครัฐประกาศรับซื้อไฟฟ้า โดยบริษัทเตรียมแผนสำหรับการก่อสร้างไว้แล้ว ภาพรวมมองว่ากำไรทั้งปียังสามารถเติบโตได้” นายเบญจพล กล่าว

ด้านบล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์คาด PTG จะได้ผลบวกจากการปูพรมฉีดวัคซีนในไทย และทำให้กิจกรรมการเดินทางและการดำเนินธุรกิจกลับมาเริ่มต้นอีกครั้งในฐานะผู้มีส่วนแบ่งตลาดน้ำมันอันดับ 2 ในไทย คาดว่าจะได้อานิสงส์จากปัจจัยดังกล่าว ส่วนธุกิจ non-oil ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่เข้ามาช่วยเสริมการเติบโต

สำหรับธุรกิจใหม่ๆ เช่น ร่วมกับกฟผ. เพื่อติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าเพื่อให้บริการรถยนต์ไฟฟ้า (EV car) ในสถานีบริการของบริษัท ปัจจุบันมีอยู่ 5 แห่ง และมีแผนจะเปิดให้บริการครอบคลุม 13 จังหวัดทั่วประเทศ, เปิดตัวอาหารและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชา โดยมีเปิด 6 สาขาในร้านกาแฟพันธุ์ไทย และ 4 สาขาในร้านคอฟฟี่เวิลด์ และอาจจะต่อยอดในส่วนธุรกิจกัญชาให้ครบวงจรหลังมีความชัดเจนด้านกฎระเบียบต่างๆ มองว่าจะเข้ามาช่วยต่อยอดจากธุรกิจเดิม แต่ในช่วงแรกอาจยังไม่มีนัยต่อประมาณการ

พร้อมคาดยอดขายปีนี้จะอยู่ที่ 130,590 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อน จากปรับสมมติฐานราคาขายน้ำมันเฉลี่ยเพิ่มขึ้น แต่ได้ปรับลด margin ลง จากต้นทุนน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รวมถึงรับรู้กำไรจากบริษัทร่วมลดลง จึงได้ปรับกำไรสุทธิลงเหลือ 2,034 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน

ส่วนบล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์คาดว่าผลการดำเนินงานน่าจะเห็นการฟื้นตัวได้ในไตรมาส 3/64 จากสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ที่ปรับตัวดีขึ้น หลังการกระจายวัคซีน และสามารถกลับมาเดินทาง จัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ตามปกติ
แนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 2/64 คาดว่ายังอ่อนตัวจากไตรมาสแรก และทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นไปตามปริมาณขายน้ำมันที่คาดลดลงจากไตรมาสแรก แต่ยังเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยไตรมาส 2/63 มี่ปริมาณขายน้ำมันอยู่ที่ 1,205 ล้านลิตร และคาดค่าการตลาดน้ำมันปัจจุบันอยู่ที่ 1.80-1.90 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่า 2 บาทต่อลิตรในไตรมาส 2/63

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 มิ.ย. 64)

Tags: , , , ,