SPCG ยังคงเป้ารายได้ปีนี้โต 5-5.5 พันลบ.แม้โควิดกระทบแต่เชื่อ H2/64 ฟื้น

นายพิพัฒน์ วิริยธรานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน บมจ.เอสพีซีจี (SPCG) เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ปี 64 ไว้ที่ 5,000-5,500 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 5,047.31 ล้านบาท แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะส่งผลกระทบกับธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ยอดรายได้ครึ่งปีแรกลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 2,360.6 ล้านบาท จากยอดขายโซลาร์รูฟ ไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ รวมถึงยังมีโซลาร์ฟาร์ม 3 แห่งที่สิ้นสุดการรับรู้รายได้ขายไฟฟ้าแบบ Adder ที่ 8 บาทไปแล้ว จึงส่งผลกระทบกับรายได้ดังที่กล่าวมา

แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าทิศทางการดำเนินงานในครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวดีขึ้น เนื่องจากไตรมาส 3/64 ธุรกิจโซลาร์ฟาร์มจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งจากการติดตามข้อมูลการผลิตในเดือน ก.ค.-ส.ค.64 ค่าพลังงานก็ยังใกล้เคียงกับเป้าหมาย แต่ในส่วนของธุรกิจโซลาร์รูฟท็อป ยอมรับว่าในเดือน ส.ค.สถานการณ์โควิด-19 ยังไม่ดีขึ้น ทำให้ลูกค้าชะลอการลงทุน แต่คาดว่าหลังจากสถานการณ์คลี่คลานจะทำให้ลูกค้ากลับมาพิจารณาลงทุนอีกครั้งในช่วงปลายไตรมาส 3/64 หรือไตรมาส 4/64

ดังนั้น บริษัทจึงยังคงเป้ายอดขายจากการติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อปปีนี้ไว้ที่ 500-800 ล้านบาท แม้ยังประสบปัญหากับสถานการณ์โควิด-19 แต่บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ขยายไปสู่ธุรกิจลิสซิ่ง โดยร่วมกับ บริษัท Mitsubishi UF J Lease and Finance ของญี่ปุ่น และร่วมกับ PEA ENCOM บริษัทลูกของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จัดตั้งบริษัท MSEK Power ทำธุรกิจลิสซิ่งโซลาร์เพาเวอร์รูฟ โดยลูกค้าไม่ต้องจ่ายเงิน แต่ใช้ลักษณะการใช้การประหยัดพลังงานของลูกค้ามาจ่ายค่าค่างวด ซึ่งลูกค้าก็ให้ความสนใจอย่างมาก ปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าอยู่ใน Pipeline ไม่ต่ำกว่า 20 ราย และในส่วนนี้ 70-80% เป็นลูกค้าลิสซิ่ง แต่เนื่องด้วยภาวะโควิด-19 ทำให้ทางบริษัทลิสซิ่งต้องมีการวิเคราะห์เครดิตลูกค้า หรือพิจารณาการให้สินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยง

นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า ในช่วงปี 63-67 บริษัทจะมีโครงการโซลาร์ฟาร์มที่ได้ Adder ในราคา 8 บาท ระยะเวลา 10 ปี ทยอยสิ้นสุดอายุสัญญา Adder ลงรวมทั้งสิ้น 36 โครงการ ซึ่งได้มีการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ไปแล้วคิดเป็นกำลังการผลิตรวม 260 เมกะวัตต์ และสามารถผลิตพลังงานได้ 385 ล้านหน่วย แบ่งเป็น ในปี 63 มีโครงการที่หมด Adder 1 โครงการ, ปีนี้ 4 โครงการ, ปี 65 อีก 4 โครงการ, ปี 66 ทั้งหมด 14 โครงการ และปี 67 อีก 13 โครงการ คาดการณ์ว่าภายหลังจากหมด Adder ในปี 67 แล้ว จะส่งผลทำให้รายได้ของบริษัทฯ หายไปประมาณ 1,300-1,500 ล้านบาท

ขณะที่บริษัทมองหาโอกาสในการลงทุนในโครงการใหม่ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในประเทศจะเน้นไปที่พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ส่วนการลงทุนในต่างประเทศ จะเน้นที่ญี่ปุ่น เนื่องจากมีความเสี่ยงต่ำ ขณะที่ในระยะสั้น บริษัทจะดำเนินการลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และรักษาระดับกำลังการผลิตให้ใกล้เคียงเดิม เพื่อชดเชยกับ Adder ที่จะทยอยหมดลง

สำหรับโครงการลงทุนในปัจจุบัน บริษัทยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่น ได้แก่ โครงการ Ukujima กำลังการผลิตติดตั้งรวม 480 เมกะวัตต์ กำหนด COD ในเดือนก.ค.66 โดยเป็นความร่วมมือกับพันธมิตร มีผู้ถือหุ้นหลัก 9 ราย โดยบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 17.92% ขนาดการลงทุนรวม 52,000 ล้านบาท เป็นส่วนของบริษัท 2,630 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้เข้ามาในปี 68 ไม่น้อยกว่า 286 ล้านบาท

และอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ Fukuoka Miyako Mega Solar ณ เกาะคิวชู (Kyushu) เมืองมิยาโกะฝั่งใต้ กำลังการผลิต 44 เมกะวัตต์ จะเริ่ม COD ในเดือน ก.พ.66 โดยทั้งโครงการใช้เงินลงทุนประมาณ 7,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนการลงทุนของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ 10%

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 ส.ค. 64)

Tags: , , , , ,