UTP เป้ายอดขายปี 65 โตเป็น 5.3 พันลบ.หลังเพิ่มเป้าปี 64 รับดีมานด์สูง-กำลังผลิตใหม่

นายวัชชระ ชินเศรษฐวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ยูไนเต็ด เปเปอร์ (UTP) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายในปี 65 อยู่ที่ 5.3 พันล้านบาท สูงขึ้นจากปี 64 ที่บริษัทได้ปรับเป้าหมายยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 4.6 พันล้านบาท จากเดิมที่ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 4 พันล้านบาท โดยมาจากความต้องการใช้กระดาษที่สูงมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน ทำให้บริษัทสามารถขายกระดาษได้เพิ่มมากขึ้น และยังมีการปรับราคาขายกระดาษเพิ่มขึ้น ตามแนวโน้มราคาต้นทุนเศษกระดาษที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้เป็นปัจจัยหนุนต่อเป้าหมายยอดขายที่บริษัทได้ปรับเพิ่มในปีนี้

โดยปัจจัยหนุนยอดขายในปีหน้ามาจากความต้องการใช้กระดาษในการทำแพคเกจจิ้งยังคงมีความต้องการใช้ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง จากการที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอีคอมเมิร์ชยังมีการเติบโตขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงการบริการขนส่งสินค้าต่างๆที่คนนิยมใช้บริการมากขึ้น ส่งผลบวกต่อความต้องการใช้กระดาษที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อ โดยที่บริษัทยังเน้นการขายในประเทศเป็นหลัก

ขณะเดียวกันในช่วงตั้งแต่ไตรมาส 3/65 บริษัทจะมีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกจากการปรับปรุงเครื่องจักรใหม่ที่ทำให้เครื่องจักรในโรงงานของบริษัทมีความสามารถในการผลิตเพิ่มมากขึ้นเป็น 1,000 ตัน/วัน จากปัจจุบันที่ 800 ตัน/วัน ทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 65 บริษัทสามารถมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นรองรับความต้องการใช้กระดาษของลูกค้าได้เพิ่มขึ้นอีก

ส่วนด้านต้นทุนการผลิตในส่วนของราคาต้นทุนเศษกระดาษและราคาถ่านหินในปี 65 บริษัทมองว่าหากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลงชัดเจนในปี 65 มองว่าราคาเศษกระดาษและถ่านหินจะเริ่มกลับเข้าสู่ระดับที่เหมาะสม จากที่ปัจจุบันราคาต้นทุนการผลิตทั้ง 2 อย่างของบริษัทเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างมากจากต้นปี 64 เป็นผลมาจากการที่โควิด-19 ยังคงไม่คลี่คลายลง ทำให้กระทบกับปริมาณซัพพลายที่ลดลงไป และไม่สามารถกลับมาผลิตได้ทันกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นกลับมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ราคาเศษกระดาษและถ่านหินปรับตัวสูงขึ้นมาก แต่บริษัทได้มีการสต็อกเศษกระดาษไว้ล่วงหน้าและมีการล็อคราคาซื้อถ่านหินจากการซื้อเป็นล็อตที่เพียงพอใช้ 2-3 เดือนล่วงหน้า เพื่อเป็นการควบคุมต้นทุนการผลิต

อย่างไรก็ตามในเรื่องการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังคงเน้นการที่หันมาผลิตและขายสินค้ากระดาษในกลุ่ม Liner เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปี 65 มองว่าจะผลักดันสัดส่วนการขายกลุ่มสินค้ากระดาษ Liner เพิ่มเป็นมากกว่า 40% หรือมีโอกาสขึ้นไปแตะ 50% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนยอดขายกลุ่มสินค้า Liner อยู่ที่ 34% และคาดว่าสิ้นปี 64 จะอยู่ที่ 36-37% โดยที่กลุ่มสินค้ากระดาษ Liner ลูกค้าให้การตอบรับดี และเป็นกลุ่มสินค้าที่ให้มาร์จิ้นสูง ทำให้เป็นกลุ่มสินค้าที่สามารถช่วยผลักดันกำไรให้กับบริษัทได้มากกว่าสินค้ากลุ่มกระดาษ Medium ที่ยังมีสัดส่วนยอดขายมากที่สุด

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ก.ย. 64)

Tags: , , ,