ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ปี 68 ยอดขายของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ อยู่ที่ 2.26 แสนล้านบาท ขยายตัว 2.0% แต่เป็นอัตราที่ชะลอลงเมื่อเทียบกับช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (CAGR ปี 65-67) ที่โตเฉลี่ย 4.7% ต่อปี จากการบริโภคที่ยังได้รับแรงกดดันด้านกำลังซื้อของคนในประเทศที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่น่าจะน้อยกว่าที่คาด
แนวโน้มของตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่สำคัญ มีดังนี้
1. ยอดขายน้ำอัดลมและน้ำดื่มบรรจุขวด คาดว่าจะขยายตัว 2.0% และ 2.6% ในปี 68 ชะลอตัวลงจากปี 67
ตลาดน้ำอัดลม และน้ำดื่มบรรจุขวด มีส่วนแบ่งตลาดรวมกันกว่า 55% ของยอดขายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ทั้งหมด โดยปัจจัยที่หนุนให้ตลาดโต ส่วนหนึ่งมาจากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น และกรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่า ปี 68 อุณหภูมิสูงสุดจะอยู่ที่ราว 43 องศาเซลเซียส สอดคล้องกับผู้ประกอบการในธุรกิจที่ระบุว่า สภาพอากาศร้อนเป็นปัจจัยบวกต่อยอดขาย
2. เครื่องดื่มฟังก์ชันนัล คาดว่าในปี 68 ยังโต 5.5% สูงกว่าภาพรวมของตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ จากหลายปัจจัยหนุน
แม้ส่วนแบ่งตลาดของเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลจะยังเล็กมาก แต่คาดว่าส่วนแบ่งจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 5% ในปี 63 เป็น 7% ในปี 68 โดยมีปัจจัยหนุนจากการใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภค และความต้องการเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่เจาะจงขึ้น เช่น ลดปัญหาการนอนไม่หลับ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ดังนั้น จะเห็นว่าผู้ประกอบการหลายราย ทั้งที่อยู่ในธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์และนอกธุรกิจ เช่น โรงพยาบาล อาหาร เคมีภัณฑ์ หันมาทำตลาดหรือแตกไลน์สินค้าใหม่ในเครื่องดื่มประเภทนี้เพิ่มขึ้น
- การแข่งขันของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในประเทศ
ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เผชิญการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ทั้งผู้เล่นในประเทศที่มีมากราย รวมถึงสินค้านำเข้าที่มาตีตลาดเพิ่ม ปัจจุบัน มีผู้เล่นเข้ามาในตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์เป็นจำนวนมากหรือกว่า 2,794 ราย (เฉพาะนิติบุคคล) ส่งผลให้ตลาดมีการแข่งขันรุนแรง ด้วยสินค้าที่มีหลากหลาย Segment ขณะที่สินค้านำเข้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8.2% ต่อปี (CAGR ปี 64-67 ในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ)
ดังนั้น การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ท่ามกลางสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดต่อเนื่อง และมี Life-cycle ที่สั้นลง จำเป็นต้องอาศัยการทำการตลาด เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์และจูงใจให้เกิดการบริโภค สอดรับข้อมูลที่คาดว่าในปี 68 เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ จะยังคงติดอันดับ TOP 3 สินค้าที่ลงทุนในสื่อโฆษณาดิจิทัลสูงสุดเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่น ๆ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการมีแผนมุ่งกระจายสินค้าสู่ตลาด B2B ทั้งร้านอาหาร และเครื่องดื่ม โรงพยาบาล โรงแรม อีกด้วย
- แนวโน้มการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในปี 68 คาดว่าไทยส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 1,744 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 1.0% โดยตลาดส่งออกหลักยังคงเป็นกลุ่มประเทศ CLMV โดยชะลอลงอย่างมากเมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อน ที่เติบโต 6.1% ต่อปี (CAGR ปี 58-67) โดยเฉพาะกลุ่มประเทศคู่ค้าหลักอย่าง CLMV ที่เผชิญปัจจัยกดดันทางด้านสงครามทางการค้า และปัญหาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ส่งผลให้ยังคงระมัดระวังการใช้จ่าย เช่น ปัญหาอสังหาริมทรัพย์ในกัมพูชา และเวียดนาม ราคาสินค้าที่สูงขึ้นจากการปรับขึ้นภาษี VAT ในสปป.ลาว รวมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองในเมียนมา เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม กลุ่มประเทศ CLMV ยังเป็นตลาดหลักในการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทย คิดเป็นสัดส่วนรวมกันกว่า 67% การส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทย ที่เพิ่มขึ้นในปี 68 ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลัก ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดศักยภาพใหม่ เช่น มาเลเซีย คาดว่าจะโตต่อเนื่อง จากการเข้าไปลงทุนหรือทำการตลาดเพิ่มเพื่อขยายฐานลูกค้า มีการร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ขยายช่องทางจัดจำหน่ายและมีโอกาสส่งออกได้เพิ่ม โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ไทยมีความได้เปรียบด้านวัตถุดิบ เช่น เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมจากผลไม้
โดยผู้ประกอบการไทยบางส่วน ได้ขยายฐานการผลิตไปยังกลุ่มประเทศ CLMV มากขึ้น ทำให้คาดว่าระยะต่อไป มูลค่าการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จากฐานการผลิตไทยอาจทยอยลดลง แต่ไปเพิ่มยอดขายจากฐานการผลิตในต่างประเทศ สะท้อนจากสัดส่วนการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยไปกลุ่มประเทศ CLMV ที่ทยอยลดลงจาก 76% ในปี 61 ปรับลงมาอยู่ที่ 67% ในปี 67
ในส่วนของน้ำดื่มบรรจุขวดและเครื่องดื่มชูกำลัง สินค้าส่งออกหลักของไทยที่ยังมีแนวโน้มเติบโตดีในตลาดหลัก CLMV การส่งออกน้ำดื่มบรรจุขวดปี 68 คาดว่า จะยังขยายตัวจากความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำดื่มสะอาดและได้มาตรฐานในกลุ่มประเทศ CLMV ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การส่งออกเครื่องดื่มชูกำลัง น่าจะได้รับแรงหนุนจากประชากรแรงงานที่มีราว 113 ล้านคน หรือคิดเป็น 63% ของประชากรทั้งหมดในกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งไม่เพียงเจาะตลาดกลุ่มผู้ใช้แรงงาน แต่มีการปรับภาพลักษณ์สินค้าไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม เช่น พนักงานออฟฟิศ ลูกค้าในตลาดอีสปอร์ต เป็นต้น
- การแข่งขันของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในตลาดส่งออก
เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยเสี่ยงแข่งขันรุนแรงขึ้น ทั้งกับสินค้าท้องถิ่นและสินค้านำเข้าจากคู่แข่งโดยเฉพาะจีน ที่มีราคาถูกกว่า โดยการส่งออกเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทย นอกจากผู้ประกอบการไทยจะมีการกระจายฐานการผลิตไปยังตลาดคู่ค้าหลักอย่างกลุ่มประเทศ CLMV แล้ว ยังต้องเสี่ยงแข่งกับสินค้าท้องถิ่นหรือสินค้าที่ผลิตได้ในประเทศที่มีราคาต่ำกว่า เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำผลไม้ ชาพร้อมดื่ม
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยยังเผชิญกับคู่แข่งที่มีความได้เปรียบด้านราคา โดยเฉพาะจีน แม้ว่ากลุ่มประเทศ CLMV จะยังนำเข้าเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จากไทยมากที่สุด หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 73% แต่การนำเข้าจากจีนถึงจะมีสัดส่วนเพียง 2% แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเวียดนาม และกัมพูชา สะท้อนจาก ปี 67 เวียดนามมีมูลค่านำเข้าเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จากจีนเพิ่มขึ้น 4 เท่า และกัมพูชา มีมูลค่านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น 3 เท่า เมื่อเทียบกับปี 64
- ความเสี่ยงของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ไทย
1. ต้นทุนการผลิตปี 68 ยังมีความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบหลักอย่างน้ำตาลทราย ที่ราคายังคงผันผวนจากสภาพอากาศที่แปรปรวน รวมถึงบรรจุภัณฑ์ ทั้งกระดาษ กระป๋อง และพลาสติก ที่อาจได้รับผลกระทบจากสงครามทางการค้า ทั้งนี้ อัตราการเติบโตของกำไรจากการดำเนินงาน (Operating Profit) ของธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในปี 66-67 จะอยู่ที่ 20-30%
2. อัตราภาษีความหวานที่ปรับขึ้นเดือนเม.ย. 68 ซึ่งเป็นระยะที่ 4 ที่จัดเก็บภาษีเต็มขั้น จะกระทบต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเครื่องดื่มชูกำลัง เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 7.74-14.04 กรัมต่อ 100 มิลลิลิตร ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นราว 1-5 บาท แตกต่างตามปริมาณน้ำตาล ขณะที่การปรับขึ้นราคาทำได้จำกัด เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรง
3. ยอดขายของแต่ละผลิตภัณฑ์ เปลี่ยนแปลงไปตามเทรนด์ผู้บริโภค ในขณะที่จำนวนประชากรไทยที่มีแนวโน้มลดลง อีกทั้ง Life-cycle ของสินค้าก็สั้นลงและความภักดีต่อแบรนด์ลดลง ดังนั้น การเพิ่มความถี่ในการบริโภคเพื่อที่จะรักษายอดขาย จึงเป็นความท้าทายของธุรกิจ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 พ.ค. 68)
Tags: การส่งออก, นักท่องเที่ยวต่างชาติ, น้ำอัดลม, ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์