จับตาเจรจาที่ทำเนียบขาว แมร์ซพบทรัมป์ครั้งแรก ชี้ชะตายุโรป-นาโต

ฟรีดริช แมร์ซ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของเยอรมนีวัย 69 ปี เตรียมเข้าพบประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ แบบตัวต่อตัวเป็นครั้งแรกในวันนี้ (5 มิ.ย.) ที่ทำเนียบขาว โดยการหารือครั้งนี้มีขึ้นในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และยุโรปเผชิญกับความเปราะบางมากขึ้น ทั้งจากประเด็นด้านความมั่นคง การค้า และท่าทีทางการเมืองของรัฐบาลสหรัฐฯ

แมร์ซซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนที่ผ่านมา ถูกจับตามองในฐานะผู้นำของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป และเป็นผู้สนับสนุนอันดับสองของยูเครนรองจากสหรัฐฯ ในด้านเงินทุนและความช่วยเหลือทางทหาร เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนการประชุมสุดยอดนาโตซึ่งกำลังเผชิญแรงกดดันเรื่องการใช้จ่ายด้านกลาโหม โดยเขาเลือกที่จะเข้าพบผู้นำสหรัฐฯ เพื่อเจรจาในประเด็นสำคัญเหล่านี้

หนึ่งในประเด็นหลักของการหารือคือ ความกังวลของเยอรมนีต่อแนวโน้มการขึ้นภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลรุนแรงต่อเศรษฐกิจที่เน้นการส่งออกของเยอรมนี นอกจากนี้ ยังมีประเด็นด้านความมั่นคง โดยเฉพาะคำขู่ของทรัมป์ที่จะไม่ให้การสนับสนุนทางทหารแก่ประเทศพันธมิตรที่ไม่เพิ่มงบกลาโหม ซึ่งเยอรมนีถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับประโยชน์จากการป้องปรามด้านนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ มานานตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง

แม้การหารือระหว่างผู้นำทั้งสองจะยังไม่เริ่มต้น แต่ก็ได้รับความสนใจจากนานาชาติ เนื่องจากการพบปะผู้นำต่างชาติในห้องทำงานรูปไข่ (Oval Office) ที่ผ่านมา บางครั้งกลับกลายเป็นเวทีสำหรับการเผชิญหน้าทางการเมือง โดยเฉพาะกรณีของผู้นำจากยูเครนและแอฟริกาใต้ที่เคยถูกโจมตีด้วยข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จจากทรัมป์

ในความพยายามที่จะลดความตึงเครียดนั้น คณะทำงานของแมร์ซได้ติดต่อขอคำปรึกษาจากผู้นำประเทศอื่น ๆ เกี่ยวกับการรับมือกับลักษณะการเจรจาของทรัมป์ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมพบปะครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกันทางการเมืองโดยไม่จำเป็น

แมร์ซพยายามเดินเกมรุกด้วยการสนับสนุนข้อเสนอของทรัมป์ที่ต้องการให้เพิ่มเป้าหมายการใช้จ่ายด้านกลาโหมของนาโตเป็น 5% ของ GDP ซึ่งถือเป็นจุดยืนที่ต่างจากผู้นำยุโรปรายอื่น และเขาได้รับคำชมจากพีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วย

ท่าทีของทรัมป์ที่มีต่อยุโรปในช่วงที่ผ่านมา ยังแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายสำคัญของสหรัฐฯ ที่เคยหลีกเลี่ยงการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองภายในของประเทศพันธมิตร แต่ในปัจจุบัน รัฐบาลทรัมป์กลับเลือกที่จะสนับสนุนกลุ่มขวาจัด และแสดงจุดยืนแข็งกร้าวต่อแนวทางของยุโรปในด้านผู้อพยพและเสรีภาพในการแสดงออก ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของพันธมิตรนาโตในระยะยาว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 มิ.ย. 68)

Tags: , , , ,