ชาวจีนกว่า 80% เลือกออมเงิน แม้ดอกฝากต่ำ สะท้อนความกังวลเศรษฐกิจ

แม้รัฐบาลจีนจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยเงินฝากอย่างต่อเนื่อง แต่ประชาชนส่วนใหญ่ยังเลือกที่จะเก็บออมมากกว่าจับจ่ายใช้สอย สะท้อนถึงความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจและรายได้ในอนาคต

ข้อมูลจากธนาคารกลางจีนระบุว่า ณ สิ้นเดือนมี.ค. 2568 ยอดเงินฝากของครัวเรือนในจีนพุ่งสูงเกิน 160 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 22.30 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.3% จากปีก่อน และคิดเป็น 118% ของจีดีพีในปี 2567 ขณะที่ยอดค้าปลีกในไตรมาสแรกขยายตัวเพียง 4.6% เมื่อเทียบรายปี

สภาพเศรษฐกิจที่ซบเซาและวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อได้สร้างแรงกดดันต่อภาคครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานที่กังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของงานและทรัพย์สิน จนต้องเลือกเก็บออมไว้มากขึ้นเพื่อความมั่นใจในอนาคต

เหมินเซียง เหลียว นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก GlobalData.TS Lombard APAC ให้ความเห็นว่า ดอกเบี้ยที่ลดลงอาจทำให้รายได้ของชาวจีนเติบโตช้าลง โดยเฉพาะคนรุ่นที่เกิดในช่วงทศวรรษ 2520-2530 ซึ่งอาจต้องเร่งออมเงินมากขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับชีวิตหลังเกษียณ ท่ามกลางแนวโน้มดอกเบี้ยต่ำที่จะยังคงอยู่

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารกลางจีนได้ปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงอีกครั้ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพื่อลดแรงกดดันต่อธนาคาร และกระตุ้นให้ประชาชนจับจ่ายหรือหันไปลงทุนแทนการออม

อย่างไรก็ดี มาตรการดังกล่าวยังไม่สามารถหยุดยั้งการเติบโตของเงินออมได้ โดยล่าสุดบนโซเชียลมีเดียได้มีการตั้งคำถามว่า “เมื่อดอกเบี้ยลดลง คุณจะเลือกออมเงินหรือใช้จ่าย” ซึ่งผลปรากฏว่า ผู้ร่วมตอบแบบสำรวจราว 5,000 คน มากกว่า 80% ระบุว่าจะยังคงเลือกออมเงินต่อไป

มิโร เฉิน วัย 37 ปี พนักงานบริษัทอินเทอร์เน็ตในภาคใต้ของจีน และเป็นผู้จัดทำแบบสำรวจนี้กล่าวว่า ผลสำรวจออกมาข้างเดียวเลย แสดงว่าผู้คนกังวลกันมาก และเขายังระบุเสริมว่า ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าบริษัทของผมจะอยู่รอดได้อีกนานแค่ไหน นี่คือเหตุผลที่ผมเลือกจะออม

เหลียวและนักเศรษฐศาสตร์อีกหลายคนเห็นตรงกันว่า หนทางที่ดีที่สุดในการกระตุ้นการบริโภคของจีน คือการพัฒนาระบบบำนาญและสวัสดิการสังคมให้เข้มแข็งขึ้น เพื่อลดแรงจูงใจในการออม และสร้างความมั่นใจให้ประชาชนกล้าใช้จ่ายมากขึ้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 พ.ค. 68)

Tags: ,