ดาวโจนส์ปิดบวก 54.34 จุด หลังทรัมป์ส่งสัญญาณพร้อมเจรจาการค้ากับจีน

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (30 พ.ค.) และดัชนี S&P 500 ปิดตลาดแทบไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ วิจารณ์จีนอย่างรุนแรงก่อนเปลี่ยนมาพูดในเชิงบวกเกี่ยวกับการทำข้อตกลงการค้า อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้นรายเดือนมากที่สุดในเดือนพ.ค.นับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2566 ขณะเดียวกัน ดัชนี Nasdaq ก็เพิ่มขึ้นรายเดือนเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2566 เช่นกัน

ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,270.07 จุด เพิ่มขึ้น 54.34 จุด หรือ +0.13%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,911.69 จุด ลดลง 0.48 จุด หรือ -0.01% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,113.77 จุด ลดลง 62.11 จุด หรือ -0.32%

เดือนพ.ค.ถือเป็นเดือนที่ผันผวนสำหรับตลาดหุ้น เนื่องจากนโยบายการค้าของทรัมป์ที่ไม่แน่นอนทำให้นักลงทุนวิตก แต่ท่าทีที่อ่อนลงในเรื่องภาษีของเขา รวมถึงผลประกอบการบริษัทที่ดีและข้อมูลเงินเฟ้อที่ไม่รุนแรง ช่วยให้ดัชนี S&P 500 ฟื้นตัวจากระดับต่ำสุดในเดือนเม.ย.

ในวันศุกร์นั้น ดัชนีหุ้นหลักทั้งสามตัวของสหรัฐฯ เปิดตลาดลดลง หลังจากทรัมป์กล่าวหาจีนผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ว่า จีนละเมิดข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ พร้อมทั้งขู่ในลักษณะอ้อม ๆ ว่าอาจมีท่าทีแข็งกร้าวขึ้นต่อจีน

แต่ตลาดสามารถลดช่วงติดลบลงได้ หลังจากทรัมป์กล่าวในช่วงบ่ายของวันศุกร์ว่า เขาจะพูดคุยกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน และหวังว่าจะสามารถแก้ไขความขัดแย้งด้านการค้าและภาษีได้

ดัชนี S&P500 ปิดตลาดวันศุกร์ปรับตัวขึ้นในรายสัปดาห์ โดยเพิ่มขึ้นจนอยู่ห่างจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนก.พ.ไม่ถึง 4% โดยทั้งเดือนพ.ค. ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้นประมาณ 6.2% ขณะที่ดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 9.6% ในเดือนพ.ค.

ก่อนที่ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่ง อัตราภาษีนำเข้าที่แท้จริงของสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 2% ถึง 3% แต่ในปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 15% ตามการประเมินของออกซฟอร์ด รีเสิร์ช (Oxford Research) โดยเดิมทีคาดว่าจะลดลงเหลือประมาณ 6% จากคำตัดสินของศาลการค้า แต่คำสั่งระงับชั่วคราวจากศาลอุทธรณ์ทำให้อัตราภาษีที่สูงยังคงมีผลบังคับใช้

ด้านข้อมูลเศรษฐกิจนั้น บรรดานักลงทุนปรับตัวรับข้อมูลในวันศุกร์จากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐซึ่งเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป (Headline PCE) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.1% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.2% หลังจากปรับตัวขึ้น 2.3% ในเดือนมี.ค. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.1% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเดือนมี.ค. หรือปรับตัว 0.0%

ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ ปรับตัวขึ้น 2.5% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 2.7% ในเดือนมี.ค. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.1% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 0.1% ในเดือนมี.ค.

ทั้งนี้ ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

หลังการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว บรรดานักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้นในการประชุมเดือนก.ย.

ในด้านผลประกอบการนั้น หุ้นอัลตา บิวตี้ (Ulta Beauty) พุ่งขึ้น 11.8% หลังจากผู้ค้าปลีกเครื่องสำอางรายนี้ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรประจำปี หลังจากรายงานผลประกอบการรายไตรมาสที่ดีกว่าคาด

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 พ.ค. 68)

Tags: ,