ดาวโจนส์ฟิวเจอร์พุ่งกว่า 300 จุด รับผลประกอบการไมโครซอฟท์, เมตา

ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์พุ่งขึ้นกว่า 300 จุดในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดวันนี้ (1 พ.ค.) หลังจากสองบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในกลุ่ม Magnificent Seven อย่างไมโครซอฟท์ และเมตา แพลตฟอร์มส์ รายงานผลประกอบการดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งสะท้อนว่าภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยียังคงมีแนวโน้มแข็งแกร่ง

ณ เวลา 17.23 น. ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์บวก 358 จุด หรือ 0.88% สู่ระดับ 41,128 จุด

บริษัทไมโครซอฟท์ (Microsoft) เปิดเผยกำไรและรายได้ที่สูงเกินคาดในไตรมาส 3 ของปีงบการเงิน 2568 ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 31 มี.ค. โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของธุรกิจ Azure ซึ่งเป็นธุรกิจคลาวด์ โดยไมโครซอฟท์ระบุว่า กำไรต่อหุ้นในไตรมาสดังกล่าวอยู่ที่ 3.46 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.22 ดอลลาร์ และรายได้อยู่ที่ 7.007 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 6.842 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 18% สู่ระดับ 2.58 หมื่นล้านดอลลาร์ จากระดับ 2.19 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

ด้านบริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms) รายงานกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ระดับ 6.43 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ประมาณ 5.28 ดอลลาร์ และรายได้อยู่ที่ 4.231 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 4.140 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนยอดขายพุ่งขึ้น 16% เมื่อเทียบรายปี และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบรายปี สู่ระดับ 1.664 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 1.237 หมื่นล้านดอลลาร์จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

นอกจากนี้ ซูซาน ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินของเมตาคาดการณ์ว่า รายได้ในไตรมาส 2/2568 จะอยู่ในช่วง 4.25 – 4.55 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.403 หมื่นล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ เมตาซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก (Facebook) และอินสตาแกรม (Instagram) วางแผนที่จะเพิ่มการใช้จ่ายด้านทุน (CapEx) สู่ระดับ 6.4-7.2 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้ ในขณะที่บริษัทกำลังเร่งสร้างศูนย์ข้อมูลเพื่อรองรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

หุ้นเมตาบวก 6.2% ขณะที่ไมโครซอฟท์พุ่งขึ้น 8.2% ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดวันนี้

ทั้งสองบริษัทรายงานผลประกอบการหลังตลาดปิดในวันพุธ ซึ่งผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งสองแห่งช่วยบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและสภาวะการทำธุรกิจที่เผชิญกับความไม่แน่นอนมากขึ้น อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และสงครามการค้ากับจีนที่ทวีความรุนแรง

ขณะที่หุ้นใหญ่อื่น ๆ ในกลุ่มเทคโนโลยีก็ได้อานิสงส์พุ่งขึ้นแข็งแกร่งในช่วงก่อนเปิดตลาดเช่นกัน โดยหุ้นอินวิเดีย (Nvidia) บวก 4.3% อัลฟาเบท (Alphabet) เพิ่มขึ้น 1.1% หุ้นแอมะซอน (Amazon) พุ่ง 4% แต่หุ้นแอปเปิ้ล (Apple) ร่วงลง 1.3% หลังจากผู้พิพากษาของรัฐบาลกลางตัดสินว่าบริษัทละเมิดคำสั่งศาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับ App Store

นักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่เหลือ โดยแอมะซอนและแอปเปิ้ลจะเปิดเผยผลประกอบการหลังจากตลาดปิดทำการในวันพฤหัสบดี ขณะที่อีไล ลิลลี่ (Eli Lilly) แมคโดนัลด์ (McDonald’s) และมาสเตอร์การ์ด (Mastercard) มีกำหนดเปิดเผยผลประกอบการก่อนเปิดตลาด

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือนเม.ย.จาก S&P Global ดัชนีภาคการผลิตเดือนเม.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) และการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนมี.ค.

นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้นเพียง 129,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 228,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.2% ในเดือนเม.ย.

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 พ.ค. 68)

Tags: , , ,