ตลาดหุ้นยุโรปปิดทรงตัว นักลงทุนรอผลเจรจาการค้าจีน-สหรัฐฯ

ตลาดหุ้นยุโรปปิดแทบไม่เปลี่ยนแปลงในวันอังคาร (10 มิ.ย.) ท่ามกลางการซื้อขายอย่างระมัดระวัง เนื่องจากนักลงทุนรอผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนในวันที่สองที่กรุงลอนดอน

  • ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 553.12 จุด ลดลง 0.12 จุด หรือ -0.022%
  • ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,804.33 จุด เพิ่มขึ้น 12.86 จุด หรือ +0.17%,
  • ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,987.56 จุด ลดลง 186.76 จุด หรือ -0.77% และ
  • ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,853.08 จุด เพิ่มขึ้น 20.80 จุด หรือ +0.24%

ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดแทบไม่ขยับเป็นวันที่สองติดต่อกัน ขณะที่โฆษกกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า การประชุมสองวันที่ลอนดอนระหว่างสองชาติเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ของโลกยังคงดำเนินอยู่ ขณะที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อีกคนหนึ่งระบุว่าทั้งสองฝ่ายได้ยุติการเจรจาโดยตรงแล้ว

แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ จะแสดงท่าทีเชิงบวกเกี่ยวกับการเจรจาเมื่อวันจันทร์ ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าทั้งสองประเทศอาจยุติข้อพิพาททางการค้า แต่การที่ไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจนก็ทำให้ตลาดหุ้นยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้

หากมีความคืบหน้าในเชิงบวกจากการเจรจา อาจช่วยคลายความกังวลในตลาดได้ เนื่องจากนโยบายภาษีที่ผันผวนของทรัมป์และความสัมพันธ์ที่ไม่แน่นอนระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ได้ส่งผลกระทบต่อทั้งสองเศรษฐกิจ ทำให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก และกดดันแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลก

นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า ยังไม่มีความชัดเจนว่าในที่สุดจะสามารถตกลงกันได้ในประเด็นใดบ้าง จนกว่าจะมีข้อตกลงการค้าที่เป็นรูปธรรม ความสนใจจะยังอยู่ที่การสิ้นสุดของช่วงหยุดพักการเก็บภาษี 90 วัน และผลกระทบ หากไม่มีข้อตกลงเกิดขึ้น

ทั้งสองประเทศกำลังพยายามรื้อฟื้นข้อตกลงพักรบการค้าชั่วคราวที่เคยบรรลุในกรุงเจนีวา ซึ่งเคยช่วยลดความตึงเครียดและสร้างความสงบให้ตลาดในช่วงสั้น ๆ

สำหรับหุ้นกลุ่มต่าง ๆ ในยุโรปนั้น ดัชนีหุ้นกลุ่มการเงิน ลดลง 1.4% นำโดยหุ้นยูบีเอส (UBS) ของสวิตเซอร์แลนด์ที่ร่วงเกือบ 5% หลังนักลงทุนกังวลว่าข้อเสนอจากรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์อาจทำให้ธนาคารต้องเพิ่มทุนสำรองอีก 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศปรับตัวลงเช่นกัน โดยลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์

ในทางตรงกันข้าม หุ้นกลุ่มพลังงานเป็นกลุ่มที่โดดเด่นที่สุด เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น

หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์เพิ่มขึ้น 1.2% นำโดยหุ้นโนโว นอร์ดิสค์ (Novo Nordisk) ซึ่งพุ่งขึ้นประมาณ 6% หลังจากมีรายงานจากไฟแนนเชียลไทมส์ว่า กองทุนเฮดจ์ฟันด์ Parvus Asset Management กำลังเข้าซื้อหุ้นในบริษัทยาแห่งนี้

หุ้นของผู้ผลิตวัคซีนอย่าง แอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) และซาโนฟี (Sanofi) ปรับตัวขึ้น แม้ว่ารัฐมนตรีสาธารณสุขของสหรัฐฯ จะยุบคณะกรรมการที่ปรึกษาวัคซีนของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ (CDC)

ตลาดจะจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากยุโรปและสหรัฐฯ ที่จะทยอยเผยแพร่ตลอดสัปดาห์นี้ โดยสหรัฐฯ จะข้อมูลเงินเฟ้อ (CPI) ในวันพุธนี้ ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนยังคงเป็นไปอย่างระมัดระวัง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 มิ.ย. 68)

Tags: ,