นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย มีวาระสำคัญเพื่อแจ้งข้อสั่งการของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และติดตามความคืบหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมายจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำการเข้มงวดกับสินค้านำเข้าที่ไม่ได้มาตรฐาน การดำเนินธุรกิจแบบนอมินี การขายสินค้าต่างชาติผิดกฎหมายทั้งออนไลน์-ออฟไลน์ และการส่งเสริมให้เกิดการใช้แรงงานไทยและวัตถุดิบในประเทศ พร้อมผลักดันให้ภาคเอกชนใช้ประโยชน์จาก FTA อย่างเต็มที่
โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้คณะกรรมการฯ ได้ดำเนินคดีกับสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานและผิดกฎหมายไปแล้วกว่า 39,186 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 2,074 ล้านบาท และสามารถเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสินค้านำเข้าที่ต่ำกว่า 1,500 บาทได้ถึง 1,796 ล้านบาท พร้อมกันนี้ได้ ดำเนินมาตรการ Notice and Takedown ถอดสินค้าผิดกฎหมายจากแพลตฟอร์มออนไลน์แล้วกว่า 10,378 รายการ ส่วนการปราบปรามธุรกิจนอมินี มีการดำเนินคดีรวม 857 ราย มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 15,288 ล้านบาท
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า เพื่อเป็นการเสริมสร้างประสิทธิภาพการดำเนินงาน ที่ประชุมฯ จึงมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ และพล.ต.ท.พิทยา ศิริรักษ์ เป็นที่ปรึกษาเพิ่มเติมใน 2 คณะอนุกรรมการ ได้แก่ คณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) และคณะอนุกรรมการส่งเสริมและยกระดับ SME ไทย และแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ
พร้อมกันนี้ ในส่วนของปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ได้แต่งตั้งที่ปรึกษาเพิ่มเติม ที่มีนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ เป็นประธานที่ปรึกษาคณะทำงาน โดยมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ และ พล.ต.ท.พิทยา เป็นที่ปรึกษาคณะทำงาน และแต่งตั้งรองอธิบดีกรมการปกครอง เป็นรองประธานเพิ่มเติมในคณะทำงาน เพื่อสนับสนุนการทำงานเชิงรุก และลงพื้นที่ทั่วประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มหน่วยงานในคณะอนุกรรมการและคณะทำงาน เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาครอบคลุมทุกมิติ
“นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับปัญหานี้อย่างมาก และได้กำชับให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการอย่างเข้มข้น โดยเน้นการทำงานเชิงรุก (Proactive) แก้ไขปัญหาล่วงหน้า เพราะท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจโลก มีความเสี่ยงสูงที่สินค้าผิดกฎหมายและไม่มีคุณภาพจะทะลักเข้าสู่ประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SME ไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งรัฐบาลจะดำเนินการทุกมาตรการที่จำเป็น โดยเฉพาะในประเด็นสินค้าที่ขายในประเทศ จะต้องระบุแหล่งที่มาของสินค้า และมีการแข่งขันด้านราคาอย่างเป็นธรรม ซึ่งคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ก็จะเข้ามาบูรณาการใช้กฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาร่วมด้วยอย่างจริงจัง พร้อมเร่งรัดให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว” นายพิชัย กล่าว
ด้านนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ปัญหาสินค้านำเข้า และธุรกิจนอมินี ได้สะสมในประเทศไทยมายาวนานกว่า 10 ปี สาเหตุหลักมาจากกฎหมายไทยที่ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบการค้าโลก และไม่สามารถเอาผิดกับบริษัทที่ใช้คนไทยถือหุ้นแทนต่างชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการฯ จะมุ่งล้างปัญหานอมินีเดิม โดยแบ่งกลุ่มบริษัทที่มีต่างชาติถือหุ้นตั้งแต่ 0.01-49.99% ออกเป็น 6 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.การท่องเที่ยว 2.อสังหาริมทรัพย์ 3.อีคอมเมิร์ซ ขนส่ง และคลังสินค้า 4. โรงแรมและรีสอร์ท 5.การเกษตร และ 6.การก่อสร้าง
จากข้อมูลพบว่ามีบริษัทกลุ่มเสี่ยงกว่า 46,918 ราย โดยจะจัดตั้งคณะทำงานระดับจังหวัดขึ้นในทุกจังหวัด ซึ่งมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายเป็นประธาน และมีพาณิชย์จังหวัดเป็นฝ่ายเลขานุการ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเข้มงวด ทั้งที่มาของเงินทุน ความสามารถในการประกอบธุรกิจ และความเชื่อมโยงกับชาวต่างชาติ
นายนภินทร กล่าวว่า สำหรับบริษัทใหม่ที่จดทะเบียนในอนาคต จะมีการเสนอปรับปรุงกฎหมาย เพื่อเพิ่มบทลงโทษต่อธุรกิจนอมินีถึงขั้นยึดทรัพย์ และจะเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อผลักดันเข้าสู่รัฐสภาโดยเร็ว รวมถึงประสานในทุกวาระ เพื่อให้กฎหมายมีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด
“การดำเนินการ จะเป็นไปอย่างจริงจังและเชิงรุก โดยให้แต่ละจังหวัดดำเนินการตรวจสอบบริษัทให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน และในจังหวัดที่มีบริษัทที่อยู่ในข่ายเป็นจำนวนมาก จะให้รายงานผลความคืบหน้าเป็นไตรมาสต่อไป” รมช.พาณิชย์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 พ.ค. 68)
Tags: FTA, กระทรวงพาณิชย์, นอมินี, นายกรัฐมนตรี, พิชัย นริพทะพันธุ์, สินค้าเถื่อน, แพทองธาร ชินวัตร