มาเลเซียเตือนความตึงเครียดระหว่างอินเดียและปากีสถานในแคชเมียร์อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการนำเข้าข้าวของประเทศ เนื่องจากมาเลเซียพึ่งพาการนำเข้าข้าวจำนวนมากจากทั้งสองประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกระตุ้นให้รัฐบาลต้องเร่งหาตลาดทดแทน
โมฮัมหมัด ซาบู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและความมั่นคงทางอาหารกล่าวว่า ข้าวที่มาเลเซียนำเข้านั้น เกือบ 40% มาจากอินเดียและปากีสถาน ดังนั้นหากสถานการณ์ในภูมิภาคทวีความรุนแรงขึ้น จะส่งผลโดยตรงต่อมาเลเซียอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในแง่ของราคาและความต่อเนื่องของอุปทาน
“เสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศมีความสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหารในมาเลเซีย” โมฮัมหมัดกล่าวกับหนังสือพิมพ์นิวสเตรตส์ไทมส์ พร้อมกับเสริมว่า หากเกิดสงครามหรือความตึงเครียดที่ส่งผลกระทบต่อท่าเรือหรือโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง การส่งออกข้าวมายังมาเลเซียอาจหยุดชะงัก
มาเลเซียนำเข้าข้าวขาวจากอินเดีย และนำเข้าข้าวบาสมาติจากปากีสถาน ซึ่งข้าวทั้งสองชนิดต่างเป็นอาหารหลักของประชากรมาเลเซีย 34 ล้านคน แม้ปัจจุบันอุปทานข้าวของมาเลเซียยังคงมีเสถียรภาพ แต่รัฐบาลก็เดินหน้าส่งเสริมความสัมพันธ์กับประเทศผู้ส่งออกข้าวรายอื่น ๆ ในภูมิภาค รวมถึงเวียดนาม ไทย และกัมพูชา
ทั้งนี้ สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียใต้ทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อสองฝ่ายปะทะกันอย่างหนักตามแนวชายแดนที่เป็นข้อพิพาทในวันนี้ โดยอินเดียเปิดฉากโจมตีปากีสถานเพื่อตอบโต้เหตุกราดยิงในแคชเมียร์เมื่อวันที่ 22 เมษายน จนส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเสียชีวิต 26 ราย ซึ่งอินเดียกล่าวหาปากีสถานว่าสนับสนุนเหตุการณ์โจมตีนองเลือดดังกล่าว ขณะที่ปากีสถานปฏิเสธ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 พ.ค. 68)
Tags: ข้าว, ปากีสถาน, มาเลเซีย, อินเดีย, แคชเมียร์