สว.เมินเสียงค้านเดินหน้าเลือก “เพียรศักดิ์ สมบัติทอง” เป็น ป.ป.ช.คนใหม่ เคาะตั้ง กมธ.3 คณะรวด

ที่ประชุมวุฒิสภาพิจารณาผู้ได้รับเสนอชื่อเป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ด้วยการประชุมลับ โดยลงมติเลือกนายเพียรศักดิ์ สมบัติทอง อธิบดีอัยการภาค 2 ให้เป็นกรรมการ ป.ป.ช.ด้วยเสียงข้างมาก 138 ต่อ 2 เสียง จากรายชื่อที่ได้รับการเสนอมา 3 คน ได้แก่ นายเพียรศักดิ์, นายประกอบ ลีนะเปสนันท์ รองประธานศาลฎีกา และ นายประจวบ ตันตินนท์ กรรมการอิสระ บมจ.สิริเวช จันทบุรี

ขณะที่นายประกอบได้รับคะแนนเห็นชอบเพียง 61 เสียง ไม่เห็นด้วย 60 เสียง งดออกเสียง 33 เสียง ถือว่าได้เสียงเห็นชอบน้อยกว่ากึ่งหนึ่งคือ 100 คะแนน เช่นเดียวกับนายประจวบที่ไม่ได้รับความเห็นชอบ เพราะมติ สว.ให้ความเห็นชอบ 14 เสียง ไม่เห็นชอบ 108 เสียง งดออกเสียง 31 เสียง ถือว่าได้เสียงเห็นชอบน้อยกว่ากึ่งหนึ่งคือ 100 คะแนน

ก่อนหน้าการคักเลือ กรรมการ ป.ป.ช. ที่ประชุมวุฒิสภาพิจารณาญัตติด่วนของนายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สว.กลุ่มพันธ์ใหม่ที่ขอให้ชะลอการตั้ง กมธ.ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งให้ความเห็นชอบกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกไปจนกว่ามีคำตัดสินในคดีที่ สว.จำนวนมากตกเป็นผู้ถูกร้องและผู้ร้องในคดีฮั้วเลือก สว.

นายเทวฤทธิ์ กล่าวว่า เป็นความจำเป็นที่ต้องพิจารณาเรื่องญัตตินี้และถือเป็นบรรทัดฐาน เพราะ กมธ.ตรวจสอบประวัติฯ ของผู้ที่ได้เสนอชื่อให้เป็น ป.ป.ช.ได้ลาออกไปถึง 13 คน เพราะกังวลเรื่องผลประโยชน์ขัดกัน เนื่องจากมีการยื่นเรื่องให้ตรวจสอบที่ ป.ป.ช.

ขณะที่ สว.24 คนลงชื่อขออภิปราย ส่วนใหญ่สนับสนุนให้ชะลอกระบวนการไปก่อน อย่างเช่น น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว.กลุ่มพันธุ์ใหม่ อภิปรายว่า ขณะนี้มี สว.ถึง 92 คนถูกยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. เนื่องจากพบการใช้อำนาจแทรกแซงการทำงานของหน่วยงานตรวจสอบ คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ กกต. จากกลุ่ม สว.สำรอง จึงถือว่า สว.กลุ่มที่ถูกร้องตกเป็นจำเลย ดังนั้นหากที่ประชุม สว.เดินหน้าลงมติอาจทำให้เป็นประเด็นที่ถูกร้องว่ามีผลประโยชน์ขัดกัน และ สว.อาจถูกร้องเรียนว่าผิดจริยธรรมได้

ขณะที่ นพ.เปรมศักดิ์ เพียรยุระ สว.กลุ่มสีขาว อภิปรายว่า กรณีที่มี สว.ระบุว่าหากชะลอการลงมติอาจถูกยื่นร้องต่อการทำผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ได้ แต่ตนเองมองว่าการลงมตินั้นผู้ที่จะได้รับความเห็นชอบต้องสง่างาม

“เรามีอำนาจแต่งตั้งองค์กรอิสระทั้ง 4 องค์กรตามที่ระบุไว้ในระเบียบวาระ หากทำแบบสุกเอาเผากินไม่ฟังเสียงทักท้วงจะเหมือนบูมเบอร์แรง ที่อาจเก็บไว้เพื่อรอทำประโยชน์ได้ แต่หากรีบขว้างออกไปแรง จะกลับมาตัดคอคนที่ขว้าง” นพ.เปรมศักดิ์ กล่าว

ขณะที่ น.ต.วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ สว.อภิปรายสนับสนุนให้ชะลอกระบวนการออกไปจนกว่าถึงการประชุมสมัยสามัญในเดือน ก.ค. เพราะสังคมติเตียนอยู่ และต้องเรียกร้องให้องค์กรตรวจสอบ สว.เร่งตรวจสอบให้แล้วเสร็จ

“เราเหมือนปลาที่อยู่ในข้องเดียวกัน เอาตัวเน่าออกมา แต่ถูกว่าเน่าทั้งหมด วันนี้ไปไหนมาไหนปัญหาเดียวกัน ถูกถามว่าสีไหน ทั้งที่ไม่มีสี มีข่าวลือไปแถวซอยรางน้ำ หรือเมืองที่มีสเตเดี้ยมใหญ่ ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ และไม่มีใครชี้แจง สิ่งที่ดีที่สุดต้องออกมาชี้แจง ไม่ใช่บอกว่าคนที่พูดความจริงรับผิดชอบด้วยการบูชายันต์ ไม่ว่าได้รับคำสั่งจากใคร ขอให้งดฟังคำสั่งที่มาโดยไม่ถูกต้อง ใช้สมองและหัวใจของตนเองทำตามนั้น” น.ต.วุฒิพงศ์ กล่าว

ด้านนางประทุม วงศ์สวัสดิ์ อภิปรายแย้งว่า การชะลอกระบวนการไม่ควรทำโดยง่ายหรือมีเหตุผลทางการเมือง เคารพหลักการประชาธิปไตยและยึดมั่นในการทำหน้าที่ของรัฐธรรมนูญ กรณีดังกล่าวอาจทำให้เกิดความขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญเพราะต้องการให้เกิดการหมุมเวียนในองค์กรอิสระ ทั้งนี้มีข้อเสนอตั้งคณะกรรมการติดตามเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้ขอให้ใช้ดุลยพินิจของตนเองโดยซื่อสัตย์กับตนเอง คดีความที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องถูกกล่าวหามีสิทธิต่อสู้ในกระบวนการ แต่ไม่ควรนำมาเป็นเหตุผลหลักในการเลื่อน ทั้งนี้ตนมองว่าเลื่อนไปก่อนไม่เสียหาย

“สงสัยว่าหากเสียงส่วนใหญ่ไม่เลื่อนวันนี้ ไม่ต้องกังวลว่าการเลือกองค์กรอิสระ เชื่อได้อย่างไรว่าคนที่เลือก จะอยู่ใต้อำนาจพรรคหรือนักการเมือง ทำไมสบประมาทเขา คนที่ผ่านการสรรหาต้องมีดีเอ็นเอเป็นประชาธิปไตย” นางประทุม กล่าว

หลังจาก สว.อภิปรายครบถ้วนแล้วที่ประชุมได้ลงมติชี้ขาด มติ 125 เสียงไม่เห็นด้วย ต่อ 37 เสียง งดออกเสียง 12 เสียง วุฒิสภาจึงเดินหน้าพิจารณาเรื่องตามวาระที่กำหนดไว้ แต่ นพ.เปรมศักดิ์, น.ส.นันทนา รวมถึง สว.เสียงข้างน้อย แจ้งว่าไม่ขอร่วมสังฆกรรมด้วในกระบวนการเห็นชอบองค์กรอิสระในวันนี้ น.ส.นันทนา ได้วอล์คเอาท์ออกจากห้องประชุม

หลังจากที่ประชุมวุฒิสภามีมติเดินหน้าพิจารณาวาระตั้ง กมธ. 3 คณะรวด ได้แก่ กมธ.ตรวจสอบประวัติและจริยธรรมผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), กมธ.ตรวจสอบประวัติและจริยธรรมผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และ กมธ.ตรวจสอบประวัติและจริยธรรมผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นอัยการสูงสุด ซึ่ง กมธ.ต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน 60 วันนับตั้งแต่วันที่ตั้ง ก่อนจะคัดเลือกกรรมการ ป.ป.ช.คนใหม่

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 พ.ค. 68)

Tags: , ,