สถานการณ์ในตะวันออกกลางทวีความตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง เมื่ออิหร่านออกมาเตือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้ (22 พ.ค.) ว่า สหรัฐฯ จะต้องร่วมรับผิดชอบทางกฎหมาย หากอิสราเอลเปิดฉากโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของตน หลังจากมีรายงานจากสำนักข่าว CNN ระบุว่า อิสราเอลอาจกำลังเตรียมการในลักษณะดังกล่าว
อับบาส อารักชี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ประกาศกร้าวว่าจะมีการ “ตอบโต้อย่างสาสมและเฉียบขาด” ต่อ “การกระทำที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง” ใด ๆ จากฝ่ายอิสราเอล พร้อมระบุว่า อิหร่านจะถือว่ารัฐบาลวอชิงตันเป็น “ผู้มีส่วนรู้เห็น” ในเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
ขณะเดียวกัน กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม ซึ่งเป็นหน่วยงานทรงอิทธิพลของอิหร่าน ก็ได้ออกแถลงการณ์แยกต่างหาก ยืนยันว่าจะ “ตอบโต้อย่างรุนแรงและเฉียบขาด” หากอิสราเอลลงมือโจมตี
ท่าทีแข็งกร้าวนี้มีขึ้นท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดของการเจรจาปัญหานิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านกับสหรัฐฯ รอบที่ 5 ที่จะมีขึ้นที่กรุงโรมในวันนี้ (23 พ.ค.) ซึ่งทั้งสองฝ่ายยังคงมีความเห็นไม่ลงรอยกันอย่างหนักในประเด็นการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม โดยอิหร่านยืนกรานปฏิเสธมาโดยตลอดว่าไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่านได้ประณามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้อิหร่านยุติการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมโดยสิ้นเชิงว่าเป็น “ข้อเรียกร้องที่เกินเลยและอุกอาจ”
ด้านอารักชีก็ย้ำจุดยืนว่า “จะไม่มีข้อตกลงใด ๆ” หากสหรัฐฯ ยังคงยืนกรานในเงื่อนไขดังกล่าว อย่างไรก็ตาม อารักชียังกล่าวด้วยว่า แม้อิหร่านมีศักยภาพในการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ แต่ก็ไม่มีเจตนาที่จะทำเช่นนั้น
นักการทูตหลายฝ่ายให้ทัศนะว่า หากการเจรจาครั้งนี้ล้มเหลว หรือแม้บรรลุข้อตกลงแต่ไม่สามารถบรรเทาความกังวลของอิสราเอลได้ ก็อาจเป็นชนวนให้อิสราเอลตัดสินใจใช้ปฏิบัติการทางทหารโจมตีอิหร่าน โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากประวัติศาสตร์ความขัดแย้งและการเผชิญหน้าทางทหารโดยตรงระหว่าง 2 ชาติคู่อริในภูมิภาคนี้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 พ.ค. 68)
Tags: อิสราเอล, อิหร่าน, โรงงานนิวเคลียร์