สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งอินโดนีเซีย (Indonesian Chamber of Commerce and Industry หรือ KADIN) ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) เพื่อยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ ภายในงาน CEO Forum Indonesia-Thailand ในโอกาสที่ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
สำหรับบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ได้แก่
- การส่งเสริมการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
- การแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านธุรกิจ การค้า การลงทุน และเศรษฐกิจ
- การร่วมมือในการจัดและเข้าร่วมงานแสดงสินค้า การประชุม และกิจกรรมส่งเสริมการค้า
- การแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนธุรกิจ และการสนับสนุนการเยือนระหว่างผู้ประกอบการ
ความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างหอการค้าไทย และ KADIN จะช่วยส่งเสริมการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ เพิ่มโอกาสทางการค้าระหว่างกัน รวมถึงร่วมกันแสวงหาแนวทางใหม่ในการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้แก่ภูมิภาคอาเซียนในภาพรวม
การลงนามในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของภาคเอกชนไทย และอินโดนีเซีย ในการร่วมกันขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม และเสริมสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่ออนาคตของทั้งสองประเทศ
ขณะเดียวกัน ประเทศไทยและอินโดนีเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียน จำเป็นต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับภูมิภาค รองรับการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์เศรษฐกิจ และการเมืองระหว่างประเทศ ตลอดจนรับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
นอกจากนี้ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานอาวุโสหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ยังได้เข้าร่วมกิจกรรม CEO Forum Indonesia – Thailand ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, KADIN และการสนับสนุนจากธนาคารกรุงเทพ ในการเสริมพลังความร่วมมือภาคเอกชนใน 4 สาขาหลัก ได้แก่ (1) บริการทางการเงิน (2) พลังงาน (3) เกษตรกรรมและอาหาร (4) การค้าและภาคธุรกิจ สู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของภูมิภาค
โดยในการประชุม CEO Forum ได้มีการเชิญผู้บริหารระดับสูงจากภาคเอกชน และผู้มีบทบาทสำคัญจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีศักยภาพสูงในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสองประเทศ อาทิ ธนาคารกรุงเทพ, เอสซีจี, บ้านปู, กลุ่มมิตรผล, ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม, บีกริมม์, อินโดรามา, ไมเนอร์กรุ๊ป, ธนาคารกสิกรไทย และ PT Permata Bank Tbk เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองเชิงกลยุทธ์ เสริมสร้างความร่วมมือ และผลักดันแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและอินโดนีเซีย
เวทีหารือนี้ มุ่งเน้นการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างผู้นำภาคเอกชน สร้างพลังร่วมของภาคเอกชนทั้งสองประเทศในการสนับสนุนความมั่นคงด้านพลังงาน ความมั่นคงทางอาหาร และเสถียรภาพทางการเงินของภูมิภาค เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศไปสู่ความเข้มแข็งและยั่งยืน

การเข้าร่วมของรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจในการประชุมครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณทางการเมืองที่สำคัญถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของทั้งสองรัฐบาล ในการส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชนให้เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และความมั่งคั่งของภูมิภาคอาเซียนโดยรวม
นอกจากนี้ การประชุม CEO Forum ครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการเชื่อมโยงความร่วมมือของภาคเอกชนระหว่างไทยและอินโดนีเซีย ตลอดจนแสดงให้เห็นถึงบทบาทนำของทั้งสองประเทศ ในการร่วมกันผลักดันอาเซียนสู่ภูมิภาคที่มีความมั่นคง แข็งแกร่ง และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ และภูมิรัฐศาสตร์โลกในอนาคต
ทั้งนี้ อินโดนีเซีย เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน และเป็นคู่ค้าสำคัญของไทยอันดับที่ 8 โดยในปี 2567 มูลค่าการค้ารวม 643,944 ล้านบาท (ขยายตัว 1.19% จากปี 2566) โดยทั้งสองประเทศต่างมีศักยภาพในการเป็นฐานการผลิต การส่งออก และศูนย์กลางการเชื่อมโยงภูมิภาคในหลายอุตสาหกรรม อาทิ อาหารและเกษตรแปรรูป พลังงานหมุนเวียน ยานยนต์และชิ้นส่วน การท่องเที่ยว สุขภาพ และเศรษฐกิจดิจิทัล
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 พ.ค. 68)
Tags: สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, อินโดนีเซีย, เศรษฐกิจไทย