น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายปราโบโว ซูบียันโต (H.E. Mr. Prabowo Subianto) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เป็นสักขีพยานในพิธีแลกเปลี่ยนบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างหน่วยงานของไทย-อินโดนีเซีย ว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และ H.E. Mr. Sugiono รมว.ต่างประเทศ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เป็นผู้ลงนามฝ่ายอินโดนีเซีย
ทั้งนี้ MoU ดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับอินโดนีเซีย และพัฒนาความร่วมมือด้านสาธารณสุขในสาขาต่าง ๆ เช่น การเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพ และระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ การป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ ความมั่นคงด้านยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ การเงินการคลังด้านสุขภาพ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นต้น
โดย น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ไทยและอินโดนีเซียมีมิตรภาพอันยาวนานกว่า 150 ปี โดยการเยือนของประธานาธิบดีอินโดนีเซียในวันนี้ เป็นการยืนยันถึงมิตรภาพอันแน่นแฟ้น และเป็นหมุดหมายสำคัญในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับอินโดนีเซียในปีนี้
ทั้งนี้ สองฝ่ายได้หารือกันอย่างสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ ท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นมิตร ผ่านการเป็นประธานร่วมในกลไกใหม่ ที่เรียกว่า “การประชุมหารือระดับผู้นำ” เป็นครั้งแรก ซึ่งจะเป็นกลไกที่ส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศอย่างสม่ำเสมอในอนาคต
โดยผู้นำทั้งสองฝ่ายยินดีที่จะประกาศว่า ทั้งสองประเทศ ได้ยกระดับความสัมพันธ์สู่การเป็น “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์” สะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการเสริมสร้างความร่วมมือในหลากหลายมิติ ในประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันของประชาชนทั้งสองประเทศ โดยในฐานะประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียนและมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ในภูมิภาค ไทยและอินโดนีเซีย จะร่วมมือกันเสริมสร้างความเข้มแข็งของอาเซียน ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และเศรษฐกิจโลก
- ด้านความร่วมมือทางการเมืองและความมั่นคง เห็นพ้องที่จะส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือน และการหารือระดับสูงอย่างสม่ำเสมอ และใช้ประโยชน์จากกลไกทวิภาคีต่าง ๆ ที่มีอยู่อย่างเต็มที่ โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่าย ร่วมกันจัดทำ “แผนปฏิบัติการหุ้นส่วนยุทธศาสตร์” เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมโดยเร็วภายในปีนี้
นอกจากนี้ กองทัพของทั้ง 2 ประเทศ จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในทุกมิติ พร้อมศึกษาแนวทางความร่วมมือในด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ รวมทั้งตำรวจไทยและอินโดนีเซีย จะเสริมสร้างความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการหลอกลวงทางออนไลน์ การค้ามนุษย์ และการค้ายาเสพติด
- ด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เห็นพ้องที่จะส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่าง 2 ประเทศให้มากยิ่งขึ้น โดยในปี 2567 การค้าระหว่างไทย-อินโดนีเซีย มีมูลค่าสูงถึง 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และด้วยขนาดของตลาดและการเชื่อมโยงที่มีอยู่ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั้ง 2 ประเทศ แต่จะรวมถึงภูมิภาคอาเซียนโดยรวมด้วย
ดังนั้น ไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมาธิการการค้าร่วม (Joint Trade Committee) ครั้งที่ 1 ภายในปีนี้ เพื่อหารือแนวทางในการส่งเสริมความร่วมมือดังกล่าว
ทั้งนี้ ผู้นำทั้ง 2 ประเทศ เห็นพ้องที่จะส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ และส่งเสริมให้ภาคเอกชนของทั้ง 2 ประเทศศึกษาความได้เปรียบและศักยภาพการลงทุน
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ที่ให้การสนับสนุนบริษัทไทยที่ดำเนินธุรกิจในอินโดนีเซียมาโดยตลอด และได้ขอให้ช่วยดูแลบริษัทเหล่านี้ให้ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม และสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างราบรื่นด้วย
- ด้านความมั่นคงทางอาหาร เห็นพ้องที่จะฟื้นฟูและส่งเสริมความร่วมมือ โดยเฉพาะการค้าสินค้าเกษตร รวมถึงอุตสาหกรรมฮาลาล และจะศึกษาความเป็นไปได้ในการเป็นหุ้นส่วนด้านการทำประมงอย่างยั่งยืน รวมทั้งเพิ่มความร่วมมือด้านความมั่นคงทางพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียน และพลังงานสีเขียว
- ด้านการท่องเที่ยว ทั้ง 2 ฝ่าย ยินดีต่อการเปิดเส้นทางการบินใหม่ระหว่างกรุงเทพฯ ประเทศไทย กับเมืองสุราบายา และเมืองเมดาน อินโดนีเซีย และการเปิดเส้นทางการบินระหว่างภูเก็ต-เมดานในอนาคต ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกรุงเทพฯ และภูเก็ต กับชวาตะวันออก และสุมาตราเหนือ และการเชื่อมโยงในภูมิภาค
พร้อมทั้งหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวของทั้ง 2 ประเทศ จะหารือเพื่อทำการตลาดร่วมในเส้นทางบินใหม่ รวมทั้งเห็นพ้องว่า ยังมีจุดหมายปลายทางอื่น ๆ ที่มีศักยภาพในทั้ง 2 ประเทศที่สามารถเชื่อมโยงกันได้ และจะร่วมกันพิจารณาต่อไป
- ด้านสาธารณสุขและการศึกษา ในฐานะที่ไทยและอินโดนีเซีย เป็นสมาชิกกลุ่มนโยบายต่างประเทศและสุขภาพโลก (Foreign Policy and Global Health Group) ที่ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ภายใต้กรอบองค์การสหประชาชาติ ไทยพร้อมจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่สั่งสมมาตั้งแต่ปี 2544 ในเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแก่อินโดนีเซีย
- ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้ง 2 ฝ่าย ย้ำถึงพันธกิจร่วมกันในการส่งเสริมความเป็นเอกภาพ และความเป็นแกนกลางของอาเซียน ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่มีความผันผวนในด้านการเมือง และเศรษฐกิจ โดยจะร่วมผลักดันการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจและสังคมของอาเซียนอย่างทั่วถึง และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น รวมถึงเสริมสร้างเสถียรภาพในระดับภูมิภาค
ทั้งนี้ ผู้นำทั้งสองฝ่าย เห็นว่า เมียนมาเป็นประเทศที่สงบสุข มีเสถียรภาพ และเป็นปึกแผ่น ไทยและอินโดนีเซีย ในฐานะมิตรที่ดีของเมียนมา จะร่วมมือกับมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน เพื่อช่วยสนับสนุนให้เกิดสันติภาพในเมียนมา โดยอาเซียนเป็นผู้มีบทบาทนำ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 พ.ค. 68)
Tags: ปราโบโว ซูบียันโต, อินโดนีเซีย, แพทองธาร ชินวัตร