บมจ.ไทยคม [THCOM] เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1/68 บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงาน จำนวน 144 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 124 ล้านบาทจากไตรมาส 4/67 (QoQ) จำนวน 20 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 132 ล้านบาทจากไตรมาส 1/67 (YoY) และยังสูงกว่ากำไรจากการดำเนินงานในปี 67 ที่มี 109 ล้านบาท
และหากพิจารณาเฉพาะธุรกิจด้านดาวเทียม บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานที่ไม่รวมธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับดาวเทียมและส่วนแบ่งขาดทุนจากธุรกิจโทรคมนาคมจำนวน 180 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ากำไรจากการดำเนินงานปกติ 36 ล้านบาท และปรับตัวเพิ่มขึ้น 111 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งของธุรกิจหลัก
บริษัทมีผลกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในไตรมาส 1/68 จำนวน 119 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากไตรมาส 4/67 (QoQ) และ ไตรมาส 1/67 (YoY) เนื่องจากปัจจัยจากอัตราแลกเปลี่ยน จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในไตรมาส 1/68 โดยสถานการณ์การแข็งค่าของค่าเงินบาทดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออก รวมถึงบริษัท ซึ่งมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากต่างประเทศ
บริษัทตระหนักถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และได้ดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อลดผลกระทบ เช่น การบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/68 บริษัทรับรู้รายได้อื่นจำนวนทั้งสิ้น 240 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากไตรมาส 4/2567 (QoQ) และไตรมาส 1/2567 (YoY) ที่ (36) ล้านบาท และ 2 ล้านบาทตามลำดับ เป็นผลมาจากการที่บริษัทสามารถบริหารจัดการภาระผูกพันในอดีตที่เกี่ยวข้องกับอาคารและอุปกรณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทไม่มีภาระผูกพันในการชำระเงินตามสัญญาดังกล่าว
บริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการในไตรมาส 1/68 จำนวน 500 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 9.4% จาก 552 ล้านบาท ในไตรมาส 4/67 (QoQ) และลดลง 17.9% จาก 609 ล้านบาทในไตรมาส 1/67 (YoY) โดยมีสาเหตุหลักมาจากการทยอยรับรู้รายได้จากโครงการบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม (USO) ระยะที่ 2 ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่ยังไม่กลับเข้าสู่ระดับปกติอย่างเต็มจำนวน หลังจากเกิดช่วงรอยต่อของสัญญาในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งรายได้จะทยอยเข้ามาในไตรมาสที่ 2/68
โดยในปีนี้จะมีโครงการ USO ระยะที่ 3 ที่มีกรอบงบประมาณมากถึง 5.8 พันล้านบาท ซึ่งจะมีการให้บริการด้านดาวเทียมรวมอยู่ในโครงการนี้เช่นเดียวกัน โดยบริษัทได้เตรียมความพร้อมและดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อรองรับปริมาณความต้องการที่จะเพิ่มขึ้น
ในไตรมาส 1/68 บริษัทประสบความสำเร็จในการเซ็นสัญญากับ GISTDA มูลค่าราว 234 ล้านบาท เพื่อเป็นผู้จัดหาระบบจานสายอากาศสำหรับรับสัญญาณและควบคุมกลุ่มดาวเทียม THEOS ภายใต้โครงการจัดหาจานสายอากาศสำหรับรับสัญญาณและควบคุมดาวเทียม นอกจากนี้ เมื่อต้นเดือนเมษายนปี 2568 บริษัทชนะประมูลโครงการควบคุมดาวเทียมสำหรับดาวเทียมไทยคม 4 และไทยคม 6 จาก NT มูลค่ากว่า 118 ล้านบาท นับเป็นการตอกย้ำการเป็นบริษัทชั้นนำแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในด้านดาวเทียมและเทคโนโลยีอวกาศระดับสูงมากว่า 30 ปี
สำหรับธุรกิจการให้บริการโทรศัพท์ในต่างประเทศ ส่วนแบ่งกำไร (ขาดทุน) จากเงินลงทุนในการร่วมค้าปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากบริษัท ลาว เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ มหาชน (LTC) มีรายได้และกำไรสุทธิที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากนโยบายการปรับโครงสร้างราคาค่าบริการโทรคมนาคมของกระทรวงคมนาคมและการสื่อสาร ทั้งนี้ แม้ว่าสกุลเงินกีบจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในไตรมาส 1/68 บริษัทยังคงรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในการร่วมค้า เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่เกิดจากดอกเบี้ยจ่ายที่ บริษัท เชนนิงตัน อินเวสเม้นท์ส พีทีอี จำกัด
LTC บริษัทในเครือของบริษัท ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการโทรศัพท์มือถือและโทรคมนาคมที่มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ใน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือ สปป.ลาว ได้เปิดตัว แอปพลิเคชัน Mmoney X – Super App “Super X” บริการด้านการเงินดิจิทัลแบบครบวงจร ภายในงาน Lao Digital Week 2568 ซึ่งนับเป็นก้าวใหม่ของอุตสาหกรรม Fintech ใน สปป.ลาว ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการรวมแอปพลิเคชันต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน ทั้งบริการด้านการเงิน และบริการด้านโทรคมนาคม (M-Service และ My TPlus) เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งานด้านการเงินดิจิทัลได้อย่างครบวงจร และเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อพัฒนา สปป.ลาว ให้ก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างมั่นคงและยั่งยืน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 พ.ค. 68)