แบงก์ชาติห่วงลงทุนชะลอต้นตอฉุดศักยภาพเศรษฐกิจ ส่งสัญญาณเก็บกระสุนรองรับความเสี่ยง

นายปิติ ดิษยทัต รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน “Monetary Policy Forum 1/2568” ถึงศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (Potential Growth) อยู่ที่ 2.5-3% หรือต่ำกว่า 3% เล็กน้อย สิ่งที่เป็นห่วงค่อนข้างมาก คือ การลงทุนต่ำที่ต่อเนื่อง เป็นต้นตอที่ทำให้ศักยภาพเศรษฐกิจไทยชะลอลง

โดยในภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน สิ่งแรกที่ชะลอ คือ การลงทุน ทำให้เศรษฐกิจระยะสั้นชะลอ แต่ระยะยาวจะขึ้นกับการปรับตัวของธุรกิจและซัพพลายเชน และความชัดเจนของนโยบายการค้าที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ส่วนนโยบายการเงินเป็นประเด็นรอง ๆ เพราะผู้ประกอบการอาจไม่ได้ดูต้นทุน แต่เป็นเรื่องของความชัดเจนของนโยบาย และกฎระเบียบความยากง่ายในการทำธุรกิจ ซึ่งนโยบายการเงินจะมาเป็นตัวเสริม

“สิ่งที่เกิด Shock รอบนี้ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการค้าการขาย หากโลกใหม่ไทยไม่ปรับตัว ทำให้ศักยภาพการเติบโตของไทยจะปรับลดลงได้อีก เนื่องจาก Shock รอบนี้เข้ามาในภาคการผลิต จึงต้องช่วยเร่งการลดต้นทุน การขยายตลาด เพื่อลดผลกระทบภาคการผลิต และมาตรการป้องกันสินค้าราคาถูกด้อยคุณภาพทะลักเข้ามาแข่งขัน”

*เก็บกระสุน Policy Space ไว้รองรับความเสี่ยงข้างหน้า

ส่วนการส่งผ่านนโยบายการเงินหลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมา 3 ครั้ง นับตั้งแต่ปลายปีก่อนจนถึงปัจจุบันมาอยู่ที่ระดับ 1.75% ต่อปี โดยปกติการส่งผ่านนโยบายการเงินมีหลายช่องทาง ซึ่งช่องทาง “ธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงิน” ก็เป็นช่องทางหนึ่ง ปัจจุบันกำลังดำเนินการอยู่ แต่โดยปกติการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารจะพิจารณาบริบทธุรกิจและภาวะเศรษฐกิจโดยรวม จะใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ในการปรับลดลง แต่ผลของดอกเบี้ยจะน้อยกว่า 2 ครั้งก่อนหน้า เพราะในภาวะดอกเบี้ยต่ำและความไม่แน่นอน ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการลดดอกเบี้ยจะลดลง

ส่วนการส่งผ่านนโยบายการเงินช่องทางอื่น ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (RP) เป็นบรรทัดฐานในการกู้ยืม และค่าเงินด้วย มีผลวงกว้างพอสมควร จึงอยากให้มองภาพองค์รวม ไม่ใช่แค่ธนาคารปรับอัตราดอกเบี้ย แต่ยังมีมาตรการทางการเงิน เช่น ช่วยเรื่องของโครงสร้างหนี้ หรือการช่วยในเรื่องของลดความเสี่ยง (Credit Risk) ที่สามารถทำควบคู่กับภาครัฐได้ อย่างไรก็ดี โดยปกติการส่งผ่านสู่ธนาคารพาณิชย์ และตลาดเงิน ค่าเงินบาทจะใช้เวลาราว 3-6 เดือน และการส่งผ่านไปสู่ระบบเศรษฐกิจจะใช้เวลา 1 ปีขึ้นไป

นายปิติ กล่าวว่า หากถามว่าเศรษฐกิจในรูปแบบไหนจึงจะไม่มีความจำเป็นต้องเก็บกระสุน หรือ ขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy Space) เป็นอย่างไร จะเห็นว่า Policy Space มี Room ไม่มากแล้วหลังดอกเบี้ยปรับลดลงมาอยู่ที่ 1.75% ต่อปี หากดูประเทศอื่นในภาวะดอกเบี้ยต่ำ แรงกระตุ้นจากการลดดอกเบี้ยจะน้อยลง และการส่งผ่านจะลดลง ซึ่งการเก็บ “Policy Space” เก็บไว้เพื่อใช้รองรับโลกในระยะข้างหน้าที่มีความเสี่ยงหลากหลาย และอาจมีความจำเป็นต้องใช้กระสุนช่วงนั้นน่าจะดีกว่า

“ปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายลดลงมาต่ำแล้ว ผลอาจจะไม่เยอะ เช่น การลงทุน ลดดอกเบี้ยเยอะ แต่คนไม่อยากลงทุน เพราะหากนโยบายการค้าไม่ชัดเจน หรือคนก็ไม่อยากใช้จ่าย ดังนั้น Policy Space มีไว้รองรับสถานการณ์รุนแรง เช่น วิกฤตการเงินโลก เราจะมี Policy Space ไว้เป็น Buffer ไว้รองรับ เพราะตัวที่ฉุดเศรษฐกิจ คือ นโยบายการค้า ซึ่งไม่มีอะไรที่จะทำให้เศรษฐกิจสามารถอยู่ที่เดิมได้ เราจึงต้องมองเป็น Long Game ของนโยบายการเงินที่จะทำเพื่อรองรับระยะยาว”

*สหรัฐฯ-จีนเจรจาลดความตึงเครียด ผลเชิงบวกต่อไทย 0.1%

นางปราณี สุทธศรี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธปท. กล่าวว่า ภาพรวมการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่มีการลดภาษีสินค้านำเข้า (Reciprocal Tariffs) และเลื่อนการขึ้นภาษีออกไปอีก 90 วันนั้น ช่วยลดความตึงเครียดและมีผลเชิงบวกกับเศรษฐกิจโลกและไทย ซึ่งดีกว่าที่ ธปท.ประเมินฉากทัศน์ไว้ โดยผลเชิงบวกต่อไทย คือ การค้าโลกไม่ลดลง ซึ่งไทยเป็นซัพพลายเชนของจีน และจีนส่งออกไปสหรัฐฯ เร็วขึ้นก่อนครบกำหนด 90 วัน ส่งผลให้สินค้าที่จะเข้าไทย และสินค้าที่จะมีการแข่งขันกับสินค้าไทยในตลาดอื่นปรับลดลง

ทั้งนี้ ทิศทางเศรษฐกิจไทยปรับลดลง โดยจากการประเมินฉากทัศน์ปีนี้อาจเติบโตได้ราว 2% และกรณีเลวร้ายอาจเหลือ 1.3% โดยความเสี่ยงมาจากภาคต่างประเทศ จึงมีความเสี่ยงด้านต่ำสูงขึ้น ซึ่งสัญญาณกระทบการลงทุนชะงักจากความไม่แน่นอน มูลค่าการส่งออกปรับลดลง แต่สินค้าโภคภัณฑ์ปรับลดลงจากดีมานด์โลกชะลอ แต่เบื้องต้น sector ที่ได้รับผลกระทบ จะเป็น ยางล้อ และชิ้นส่วนรถยนต์ เนื่องจากมีการเก็บภาษีอัตรา 25% ไปก่อนหน้า

แต่สิ่งที่ห่วง คือ sector ที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าทะลักเข้ามา เช่น เครื่องนุ่งห่ม สิ่งทอ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะมีปัญหาในเรื่องโครงสร้าง ซึ่งจะยิ่งเปราะบางมากขึ้น อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามพัฒนาการของการเจรจาของไทยและประเทศอื่น และมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ

“โดยรวมการเจรจาสหรัฐฯ และจีน มีผลบวกต่อเศรษฐกิจไทย 0.1% อย่างไรก็ดี ต้องรอดูผลหลัง 90 วัน เพราะเป็นการลดชั่วคราว รวมถึงผลการเจรจากับประเทศอื่นด้วย ทำให้ 2 ฉากทัศน์ที่ประเมินไว้มีความเป็นไปได้ หรือเปลี่ยนแปลงขึ้นกับผลการเจรจาและการเปลี่ยนแปลงในอนาคต”

*ยันไม่เห็นสัญญาณ GDP ติดลบ

นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า ภาพรวมตัวเลข GDP ไตรมาส 1/68 ยังคงไม่เห็นผลกระทบจากสงครามการค้า หรือจากภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs)) ของสหรัฐ เพราะมีการเร่งส่งออกไปมากแล้วในช่วงก่อนหน้านี้ และยังคงต้องรอดูตัวเลขจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ที่จะออกมาด้วย

อย่างไรก็ดี คงไม่เห็นตัวเลข GDP ต่อไตรมาส (QoQ) ติดลบ แม้ว่า Shock จะใหญ่และยาว แต่ไทยเคยเจอ Shock ที่ใหญ่กว่านี้มาแล้ว สะท้อนจากฉากทัศน์ที่ไม่เห็นการเติบโตติดลบ เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ในแต่ละไตรมาสเช่นกัน

นายสักกะภพ กล่าวว่า แม้ว่าการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายการเงินจะช่วยได้บ้าง แต่ไม่ได้ทำให้ต้นทุนความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อ (Credit Cost) ลดลง เพราะต้องยอมรับว่าผลตอบแทนของสถาบันการเงินจะมาจากส่วนของ Credit Cost หากต้องการปล่อยสินเชื่อใหม่ เช่น ธุรกิจเอสเอ็มอี จะต้องพิจารณาเรื่องของ Credit Cost หากมีการค้ำประกันเข้ามาช่วยจะทำให้ความเสี่ยงลดลง ซึ่ง ธปท.ต้องติดตามการเปลี่ยนแปลง แต่เครื่องมือของ ธปท.จำกัดและดูในภาพกว้าง

“การลดดอกเบี้ยลงมา 3 ครั้งตั้งแต่ปลายปีก่อน เราพยายามปรับกระบวนการเงินให้สอดคล้องกับภาพเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจุบันเป็นเรื่องของปริมาณ ไม่ใช่ราคา โดยธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เอสเอ็มอี แม้ลดดอกเบี้ย ภาคธุรกิจก็คงไม่ได้รับปริมาณสินเชื่อเยอะขึ้น แต่เป็นเพราะปัญหาทางด้าน Credit Cost ของเขา โดยเราไม่ได้เป็นห่วงเรื่องของสภาพคล่อง เพราะในระบบธนาคารมีสภาพคล่องเพียงพอ แต่ห่วงการปล่อยสินเชื่อ และการเข้าถึงสินเชื่อ ซึ่งภาครัฐอาจจะเข้ามาช่วยเรื่องนี้ในการค้ำประกัน”

*จับตาคุณภาพสินเชื่อบ้าน

นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท.กล่าวว่า ภาพรวมสินเชื่อโดยรวมหดตัว ไม่ปรับดีขึ้น โดยสินเชื่อหดตัว -0.5% ทางด้านคุณภาพสินเชื่อทรงตัว แต่ต้องติดตามคุณภาพสินเชื่อเอสเอ็มอี และคุณภาพสินเชื่อบ้านที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดี สินเชื่อและหนี้เสียขยายตัวสอดคล้องกับ Credit Risk ดังนั้น นโยบายการเงินปรับตัวสอดคล้องกับ outlook ระยะข้างหน้า และความเสี่ยงระยะข้างหน้า โดยนโยบายการเงินอยู่ฝนลักษณะผ่อนคลาย อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องติดตามระยะถัดไป คือ ผลของการเจรจา และติดตามระยะยาวเรื่องของการปรับตัว ทั้งะดับ Micro และการเปลี่ยนแปลงระดับ Macro ด้วย

*ไร้สัญญาณเงินฝืด แม้เงินเฟ้อระยะสั้นเสี่ยงหลุดกรอบ

นายสุรัช กล่าวถึงภาพรวมอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้และปีหน้ามีโอกาสลดต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย 1-3% จาก Supply Shock ของราคาน้ำมันในตลาดโลก และมาตรการค่าครองชีพ โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวไม่ได้สะท้อนภาวะเงินฝืด และเงินเฟ้อระยะปานกลางยังยึดอยู่ในกรอบ

ทั้งนี้ หากดูเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลาง จากการสำรวจใน 5 ปีข้างหน้า และปีที่ 6-10 เงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ 1.6% รวมถึงเครื่องชี้วัดในตลาดการเงินอื่นเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ 1.7% จากกรอบ 1-3% แม้ว่าเงินเฟ้อระยะสั้นจะปรับลดลงมาจาก Supply Side Shock ขณะเดียวกัน หากดูราคาสินค้าในตระกร้าเงินเฟ้อ 430 รายการ และในสินค้าและบริการ 80 หมวด การเปลี่ยนแปลง พบว่า 2 ใน 3 ที่ปรับลดลง และ 2 ใน 3 ไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือปรับเพิ่มขึ้น จึงไม่สะท้อนภาวะเงินฝืด

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 พ.ค. 68)

Tags: , ,