รัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์พิเศษเกี่ยวกับสถานการณ์ความสัมพันธ์กับประเทศไทยในวันนี้ (5 มิ.ย.) ประกาศเดินหน้ากระบวนการทางกฎหมายระหว่างประเทศ นำข้อพิพาท 4 พื้นที่ชายแดน ได้แก่ มอมเบย ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตากระเบย เข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก ณ กรุงเฮก พร้อมหวังว่าไทยจะให้ความร่วมมือในกระบวนการนี้ ขณะที่ระบุด้วยว่า 4 พื้นที่อ่อนไหวดังกล่าวจะไม่รวมอยู่ในวาระการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) กับไทยในวันที่ 14 มิ.ย. นี้ สำหรับเนื้อหาของแถลงการณ์มีดังต่อไปนี้:
รัฐบาลกัมพูชา (RGC) ดำเนินนโยบายต่างประเทศโดยยึดมั่นในสันติภาพ มิตรภาพ และความร่วมมือระหว่างประเทศมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีพรมแดนร่วมกันที่กำหนดขึ้นในสมัยอาณานิคมฝรั่งเศส
นับตั้งแต่ได้รับเอกราช ยกเว้นในช่วงฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเขมรแดง กัมพูชายึดมั่นอย่างแน่วแน่ในการเปลี่ยนผ่านพรมแดนเหล่านี้ให้เป็นเขตแห่งสันติภาพ มิตรภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนา
แม้เส้นทางจะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่กัมพูชาให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธี แม้จะต้องเผชิญกับความตึงเครียดเป็นครั้งคราว และการสูญเสียอันน่าเศร้าของทหารผู้กล้าหาญที่ยืนหยัดปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของชาติ
ความมุ่งมั่นที่ไม่เปลี่ยนแปลงของรัฐบาลกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ สะท้อนให้เห็นจากการดำเนินการในอดีต รวมถึงการนำข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ซึ่งมีคำตัดสินให้กัมพูชาเป็นฝ่ายชนะในปี พ.ศ.2505 และอีกครั้งในปี 2556 ในข้อพิพาทชายแดนกับประเทศไทย การกระทำเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกัมพูชาต่อกฎหมายระหว่างประเทศและการแก้ไขความขัดแย้งอย่างสันติ
เป็นที่น่าเสียใจว่า ในช่วงเช้ามืดของวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 05.30 น. ได้เกิดเหตุการณ์ปะทะกันด้วยอาวุธ เมื่อกองกำลังทหารไทยเปิดฉากยิงใส่ที่มั่นของทหารกัมพูชาในหมู่บ้านเตโชมรกต ตำบลมรกต อำเภอจอมกระสานต์ จังหวัดพระวิหาร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นฐานที่มั่นทางทหารของกัมพูชามาอย่างยาวนาน การปะทะครั้งนี้ส่งผลให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิตอย่างน่าเศร้า
รัฐบาลกัมพูชาได้ยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการต่อการใช้กำลังที่ไม่ได้ถูกยั่วยุนี้ ซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และหลักการความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีของกัมพูชาอย่างร้ายแรง ดังที่ระบุไว้ในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี พ.ศ. 2543 ระหว่างสองประเทศ เหตุการณ์นี้เป็นหนึ่งในพัฒนาการที่น่ากังวลหลายประการที่เน้นย้ำถึงข้อจำกัดของกลไกการแก้ไขข้อพิพาทในปัจจุบัน ในการแก้ไขประเด็นที่ค้างคามาอย่างยาวนานตามแนวชายแดนร่วมกัน
ด้วยเหตุนี้ และเพื่อประโยชน์ในการหาทางออกที่เป็นธรรม เป็นกลาง และยั่งยืน เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2568 รัฐบาลกัมพูชาจึงตัดสินใจที่จะนำข้อพิพาทเกี่ยวกับพื้นที่อ่อนไหวสี่แห่ง ได้แก่ มอมเบย (Mom Bei), ปราสาทตาเมือนธม (Ta Moan Thom Temple) ปราสาทธม (Thom Temple), ปราสาทตาเมือนโต๊ด (Ta Moan Tauch Temple) และปราสาทตากระเบย (Ta Krabei Temple) ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก
พื้นที่ทั้งสี่แห่งนี้ยังคงเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขและมีความอ่อนไหวมาอย่างยาวนาน ซึ่งอาจนำไปสู่ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นหากไม่ได้รับการแก้ไข การตัดสินใจนี้ได้รับการสนับสนุนเป็นเอกฉันท์จากการประชุมร่วมครั้งแรกของรัฐสภาและวุฒิสภาในวันเดียวกัน
ขณะที่ดำเนินการแก้ไขปัญหาทางกฎหมายที่ ICJ นั้น รัฐบาลกัมพูชายังคงมุ่งมั่นในการเจรจาและการทูต กัมพูชาจะยังคงมีส่วนร่วมผ่านกรอบทวิภาคีที่มีอยู่ และจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ครั้งต่อไปในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ที่กรุงพนมเปญ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการส่งเรื่องไปยัง ICJ พื้นที่ทั้งสี่แห่งที่กล่าวมาข้างต้นจะไม่อยู่ในวาระการประชุม JBC ที่จะถึงนี้
กัมพูชาแสดงความหวังว่าประเทศไทยจะให้ความร่วมมือในการนำคดีนี้ขึ้นสู่ ICJ ร่วมกัน ด้วยจิตวิญญาณแห่งความเป็นธรรม การสร้างความไว้วางใจ มิตรภาพระยะยาว และความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้รับความร่วมมือ กัมพูชาก็พร้อมที่จะดำเนินการด้วยตนเอง
รัฐบาลกัมพูชาเรียกร้องให้ชาวกัมพูชาทุกคนพิจารณาประเด็นนี้ด้วยความสงบและยับยั้งชั่งใจ และหลีกเลี่ยงการทำให้เป็นเรื่องของความรู้สึกทางชาติพันธุ์หรือชาตินิยม เราเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาสัมพันธภาพปกติกับประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการค้า การท่องเที่ยว และความร่วมมือในวงกว้าง เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของประชาชนทั้งสองประเทศ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 มิ.ย. 68)
Tags: กัมพูชา, ชายแดนไทย-กัมพูชา, พื้นที่พิพาท, ศาลโลก