ในกฎหมายระหว่างประเทศ หลัก “Acquiescence” และ “Estoppel” เป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่ศาลและอนุญาโตตุลาการใช้เพื่อปกป้องความแน่นอนทางกฎหมาย (Legal Certainty) และความสุจริตระหว่างรัฐ (Good Faith) หลักการทั้งสองนี้มักถูกใช้ในข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องกับดินแดนและอำนาจอธิปไตย ซึ่งการกระทำหรือการไม่กระทำของรัฐฝ่ายหนึ่งอาจส่งผลให้เกิดสิทธิหรือข้อจำกัดทางกฎหมายต่อรัฐอีกฝ่ายหนึ่ง
กรณีพิพาทที่ถือว่าเป็นบรรทัดฐานของการประยุกต์ใช้หลักกฎหมายทั้งสอง เช่น คดีปราสาทพระวิหาร (Temple of Preah Vihear Case, Cambodia v. Thailand, ICJ Reports 1962) ซึ่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ได้วินิจฉัยในปี พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) ว่ากัมพูชาเป็นผู้มีอำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร โดยพิจารณาจากพฤติกรรมและท่าทีของรัฐบาลไทยที่แสดงออกมานานหลายทศวรรษภายหลังการจัดทำแผนที่ข้อพิพาทโดยฝรั่งเศส
หลัก Acquiescence หรือ การยอมรับโดยปริยาย หมายถึง การที่รัฐหนึ่งไม่คัดค้านการกระทำหรือการอ้างสิทธิของอีกรัฐหนึ่ง ทั้งที่มีโอกาสอย่างสมเหตุสมผลในการคัดค้าน โดยเฉพาะในกรณีที่การนิ่งเฉยนั้นอาจตีความได้ว่าเป็นการยอมรับ โดยพฤติการณ์นั้นต้องเป็นที่รับรู้ได้ของรัฐคู่กรณี และต้องเกิดขึ้นในระยะเวลาที่เหมาะสม
ในคดีปราสาทพระวิหาร ศาล ICJ ได้พิจารณาข้อเท็จจริงหลายประการ ได้แก่ อ้างหลักฐานแผนที่ที่จัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสที่แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ปราสาทพระวิหารอยู่ในฝั่งของกัมพูชา โดยแผนที่ดังกล่าวได้รับการเผยแพร่และใช้อย่างต่อเนื่อง และรัฐบาลไทยได้รับแผนที่นี้แล้วใน ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) และ ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) แต่ไม่เคยมีการประท้วงอย่างเป็นทางการภายในระยะเวลานานกว่า 50 ปี นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทย เช่น ข้าราชการ ทูต และผู้แทนทางการทหาร เคยเดินทางไปยังพื้นที่ปราสาทพระวิหารภายใต้คำเชิญของกัมพูชา และไม่เคยแสดงท่าทีคัดค้านในทางการทูต
จากพฤติกรรมเหล่านี้ ศาลจึงเห็นว่าไทยได้แสดงท่าที “ยอมรับโดยปริยาย” (Acquiesced) ต่อเขตแดนตามแผนที่และไม่สามารถปฏิเสธได้ในภายหลัง
หลัก Estoppel หรือ หลักกฎหมายปิดปาก เป็นหลักทางกฎหมายที่ห้ามไม่ให้รัฐกลับคำจากพฤติกรรมหรือคำพูดในอดีต หากการกระทำหรือคำพูดนั้นทำให้อีกรัฐหนึ่งดำเนินการบนพื้นฐานของความคาดหวังอย่างสมเหตุสมผล (Legitimate Expectation) และจะเกิดความเสียหายหากรัฐนั้นเปลี่ยนจุดยืนในภายหลัง หลัก Estoppel ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ Good Faith และความยุติธรรมระหว่างรัฐ
ในคดีปราสาทพระวิหาร ศาล ICJ พิจารณาว่า กัมพูชาได้ดำเนินการในเชิงบริหารและทางการทูตในพื้นที่ปราสาทพระวิหารอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความเชื่อที่ว่าไทยยอมรับแผนที่ ประกอบกับการที่ไทยไม่คัดค้านแผนที่นั้นในช่วงเวลาหลายทศวรรษ และมีพฤติกรรมสอดคล้องกับการยอมรับอธิปไตยของกัมพูชา เป็นพฤติกรรมที่ทำให้เกิดสิทธิที่กัมพูชาพึงคาดหมายได้ ไทยจึงไม่อาจกลับคำหรือปฏิเสธอธิปไตยของกัมพูชาในภายหลังได้โดยไม่ละเมิดหลัก Good Faith
ศาลจึงวินิจฉัยว่า ไทยต้อง “Estopped” จากการโต้แย้งความถูกต้องของแผนที่ และพิพากษาให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร รวมถึงให้ไทยถอนกำลังออกจากพื้นที่ดังกล่าว
หลัก Acquiescence ได้รับการยืนยันและใช้ซ้ำในคดีระหว่างประเทศอื่น ๆ เช่น คดี Land and Maritime Boundary between Cameroon and Nigeria (ICJ Reports 2002) และหลัก Estoppel ในคดี Nicaragua v. United States (ICJ Reports 1986) โดยศาลใช้หลักการเหล่านี้เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความต่อเนื่องของพฤติกรรมรัฐ
ในกรณีปราสาทพระวิหาร หลักการทั้งสองถูกนำมาใช้ร่วมกันเพื่อเน้นย้ำว่า ความนิ่งเฉย ความไม่คัดค้าน และการแสดงพฤติกรรมที่สื่อถึงการยอมรับอย่างต่อเนื่องของไทยในช่วงเวลาหลายทศวรรษ ซึ่งมีผลทางกฎหมายผูกพันในระดับระหว่างประเทศ อันเป็นกรณีตัวอย่างที่เด่นชัดของการที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศใช้หลัก Acquiescence และ Estoppel เพื่อคุ้มครองหลักความแน่นอนทางกฎหมายและป้องกันพฤติกรรมย้อนแย้งของรัฐ การนิ่งเฉยหรือไม่คัดค้านในเวลาที่เหมาะสม ไม่เพียงเป็นช่องโหว่ทางการทูต แต่ยังอาจกลายเป็นพันธะทางกฎหมายที่ถาวร
สำหรับกรณีข้อพิพาทชายแดนระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาในปัจจุบัน รัฐบาลไทยจึงควรพิจารณาถึงหลักการดังกล่าวอย่างรอบคอบในการกำหนดนโยบาย การตอบโต้ และการแสดงจุดยืนในเวทีระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลทางกฎหมายอันเป็นการลดทอนสิทธิของรัฐไทยในพื้นที่พิพาทโดยไม่ตั้งใจในอนาคต
ดุษดี ดุษฎีพาณิชย์
ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการค้า การลงทุน และอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 มิ.ย. 68)
Tags: Acquiescence, Estoppel, กฎหมายระหว่างประเทศ, ข้อพิพาท, ชายแดนไทย-กัมพูชา, ดุษดี ดุษฎีพาณิชย์, ปราสาทพระวิหาร, ศาลโลก