ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 25 มิ.ย.นี้ กนง. มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.75% หลังปรับลดมาแล้ว 0.50% ตั้งแต่ต้นปีนี้ เนื่องจากเชื่อว่า กนง.จะรอประเมินผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อของไทย ซึ่งขณะนี้ สหรัฐฯ ยังคงชะลอการเก็บภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) กับไทย รวมถึงประเทศอื่นไปจนถึงวันที่ 9 ก.ค.68
อีกทั้งเชื่อว่า กนง.คงต้องติดตามสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลาง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และทิศทางเงินเฟ้อของไทย เนื่องจากเงินเฟ้อของไทย มีความเชื่อมโยงค่อนข้างสูงกับราคาพลังงาน
“ภาพเศรษฐกิจไทย ยังไม่ได้ชะลอลงจากการประชุมในครั้งก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ กนง.มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ เพื่อรักษาพื้นที่ทางนโยบายการเงิน (monetary policy space) สำหรับการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในจังหวะที่เหมาะสม และก่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดในระยะข้างหน้า” บทวิเคราะห์ระบุ
ขณะเดียวกัน ยังเห็นว่า ธปท. มีการใช้นโยบายทางการเงินอื่น ๆ โดยเฉพาะ “มาตรการคุณสู้เราช่วย” ซึ่ง ธปท.มองว่าอาจช่วยบรรเทาปัญหาหนี้ได้อย่างตรงจุด
สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า กนง. มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง ตามแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมีปัจจัยดังต่อไปนี้
1. นโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ของสหรัฐฯ ยังมีความไม่แน่นอน หลังสิ้นสุดการชะลอปรับขึ้นภาษี 90 วัน แต่คาดว่าจะเห็นส่งออกไทยมีแนวโน้มหดตัวลึกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หลังจากมีการเร่งส่งออกอย่างมากในช่วงก่อนหน้า
2. จำนวนนักท่องเที่ยว มีโมเมนตัมอ่อนแรงลงตั้งแต่เดือนก.พ.ที่ผ่านมา และยังคงไม่เห็นภาพการฟื้นตัว ดังนั้น ภาคการท่องเที่ยวในปีนี้เผชิญความเสี่ยงที่จะเห็นการหดตัวของนักท่องเที่ยวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี
3. แรงกดดันเงินเฟ้อ คาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง แม้สถานการณ์ตะวันออกกลางจะผลักดันราคาน้ำมันดิบให้สูงขึ้นชั่วคราว เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มชะลอลง ประกอบกับมีการไหล่บ่าเข้ามาของสินค้านำเข้าราคาถูก
4. ปัญหาด้านเสถียรภาพของรัฐบาล อาจส่งผลต่อการเบิกจ่ายงบประมาณ และแนวโน้มเศรษฐกิจ ส่งผลให้โอกาสที่ กนง.จะปรับลดดอกเบี้ยมากกว่า 1 ครั้งนั้นมีมากขึ้น
“อย่างไรก็ดี จังหวะในการปรับลดดอกเบี้ย คงขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อ ที่ออกมาในระยะข้างหน้าเป็นสำคัญ”
พร้อมมองว่า การคัดเลือกผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ ที่จะเริ่มเข้าดำรงตำแหน่งในเดือนต.ค.68 เป็นอีกปัจจัยที่ต้องติดตาม ซึ่งอาจส่งผลต่อแนวโน้มนโยบายการเงินในไตรมาส 4/2568 ของปีนี้เป็นต้นไป
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 มิ.ย. 68)