คลิปเสียง “อังเคิลฮุนเซน-หลายอิ๊งค์” จุดไฟร้อนแรงแผดเผารัฐบาล “แพทองธาร” อย่างฉับพลันแบบไม่ทันตั้งตัว นำปัญหาทุกด้านถาโถมเข้ามาจนถึงขั้นวิกฤติว่าจะอยู่หรือไปได้ทุกวินาทีนับตั้งแต่วันที่ 18 มิ.ย.ที่ระเบิดลูกแรกถูกโยนเข้าใส่จากฝั่งกัมพูชาอย่างผู้ที่เก๋าเกมกว่าอย่างชัดเจน
ช็อตแรกดูเหมือน พรรคเพื่อไทย จะเพลี่ยงพล้ำอย่างไม่มีทางสู้ โดยเฉพาะเมื่อพรรคภูมิใจไทย ประกาศถอนตัวออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล โดยอ้างสาเหตุว่ารับไม่ได้กับ “คลิปเสียง” ที่กระทบกับอธิปไตยของชาติ โยนเผือกร้อนไปให้กับพรรคร่วมรัฐบาลที่เหลือว่าจะยังร่วมหัวจมท้ายกับพรรคเพื่อไทยต้านกระแสรักชาต่อไปหรือไม่
แต่เมื่อพรรคร่วมรัฐบาลที่เหลือ ทั้งรวมไทยสร้างชาติ ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา เลือก “แทงกั๊ก” แทนที่จะประกาศท่าทีอย่างชัดเจน ทำให้พรรคเพื่อไทยได้ตั้งหลัก และเลือกหนทางที่จะ “เล่นเกมยาว” หวังเดินหน้าทำงานต่อเพื่อรักษาฐานอำนาจทางการเมือง พร้อมกับการตอบสนองแก้เกมอย่างรวดเร็วเพื่อสยบวิกฤติ
หลังจากถูกกระแสโจมตีอย่างหนัก ภายใน 48 ชั่วโมง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้เรียกผู้บัญชาการเหล่าทัพเข้าหารือ พร้อมออกแถลงการณ์ “แสดงความเสียใจ” และยืนยัน “สนับสนุนกองทัพเต็มที่” ต่อเนื่องมาถึงวันที่ 20 มิ.ย. นายกฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมทหารที่อุบลราชธานี พร้อมเอ่ยปาก “ขอโทษ” แม่ทัพภาค 2 ด้วยตนเอง สะท้อนความพยายามลดบรรยากาศตึงเครียดจากฝ่ายกองทัพ และสร้างภาพลักษณ์ใหม่เพื่อลดแรงกดดันจากสังคม
รวมไปถึงกระแสข่าวที่โยนหินปล่อยให้สะพัดออกมาล่าสุด คือ การอัปเกรด “บิ๊กเล็ก” พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นมานั่งเก้าอี้ รมว.กลาโหม หวังซื้อใจฝ่ายกองทัพ
แต่จากปมคลิปเสียงที่หลุดออกมา ก็กำลังถูกทดสอบโดยตรงจากนิติสงครามเมื่อ ปธ.วุฒิสภา ยื่นศาล รธน.-ป.ป.ช.ถอดถอน “แพทองธาร” โดยขอให้วินิจฉัยว่าความเป็นนายกรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ พร้อมกับยื่นให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไต่สวนข้อหาทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดรัฐธรรมนูญ ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม
รวมทั้งถูกนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ขาประจำ ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ตรวจสอบความซื่อสัตย์สุจริต
และมหกรรมม็อบ “รวมมิตร” ก็ถูกปลุกขึ้นเมื่อทั้งเสื้อแดง-กปปส.-อดีต สว.ผนึกกำลังในนามกลุ่ม “รวมพลังแผ่นดิน”ขึ้นนั่งโต๊ะแถลงขับไล่ พร้อมนัดชุมนุมใหญ่ อนุสาวรีย์ชัยฯ 4 โมงเย็น วันที่ 28 มิ.ย.
แกนนำพรรคเพื่อไทย ตัดสินใจเลือกเล่นเกมยื้อ จนกว่าจะถึง “จุดตาย” สำคัญของรัฐบาล “แพทองธาร” เพราะหากศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งรับพิจารณา และมีคำสั่งให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็จะส่งผลให้นายภูมิธรรม เวชชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ปฏิบัติหน้าที่รักษาการแทนไปก่อน
อย่างไรก็ตาม กระบวนการที่จะนำไปสู่อนาคตทางการเมืองจะเป็นอย่างไรนั้น คงต้องขึ้นอยู่กับว่าศาลจะวินิจฉัยเมื่อใด ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น นายกรัฐมนตรีก็จะหลุดจากตำแหน่งและนำไปสู่การสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งก็ต้องใช้เวลาอีกสองสามเดือนเป็นอย่างน้อย
ดังนั้น พรรคเพื่อไทยก็รีบแก้ปัญหาเสถียรภาพที่กำลังสั่นคลอน ด้วยการเดินเกมอย่างหนักในการรวมเสียงสนับสนุนให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะด้วยการดูด “งูเห่า” จากทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง โดยอาศัยเก้าอี้รัฐมนตรี 8 ตำแหน่งที่ริบมาจากโควตาพรรคภูมิใจไทยเป็นแรงดึงดูดดันหอมหวาน และอาจต้องเฉือนเนื้อเก้าอี้ในโควตาของตัวเองไปด้วย
และในเกมนี้พรรคเพื่อไทยยังยืนยันเดินหน้าสู้ต่อไปก่อน แม้เสียงในสภาจะปริ่มน้ำ และอาจถูกพรรคร่วมที่เหลือขอโควตามากขึ้น แต่การอยู่ในอำนาจที่นานที่สุด คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้ เพราะหากถูกกดดันให้ยุบสภาท่ามกลางกระแสสังคมแบบนี้จะตกเป็นเบี้ยล่างพรรคส้มที่ความพร้อมกลับสู่สนามเลือกตั้งแล้วทันที
ที่สำคัญ สมการการเมืองปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องมาในรูปแบบพรรค เพราะมีนักการเมืองหลายกลุ่มก้อนที่เป็นเป้าหมายการ “ดูด” ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนายสันติ พร้อมพัฒน์ ที่มี สส.ในมือ หรือ กลุ่ม 18 ของนายสุชาติ ชมกลิ่น ก็พร้อมเดินหน้าซัพพอร์ตรัฐบาลเต็มที่ สวนทางกลุ่มของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคฯ ที่เสนอให้เปลี่ยนตัวนายกฯ
ด้านนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้โพสต์และมองว่า สถานการณ์การเมือง ณ เวลานี้ น่าจะชัดเจนแล้วว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ไม่ลาออก ไม่ยุบสภา แต่จะลาก “รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ” ไปต่อ
ประเทศไทยจะได้หรือจะเห็นอะไรต่อจากนี้
1. การเอาอกเอาใจกองทัพ การให้กองทัพมีอำนาจเหนือรัฐบาล มากยิ่งขึ้น
2. การเอาอกเอาใจพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ผ่าน 8 เก้าอี้ รัฐมนตรีที่ว่างอยู่
3. การแย่งชิง ต่อรอง ตำแหน่ง ของนักการเมือง การดึง การดูด เอาเก้าอี้ รมต ผลประโยขน์มาหลอกล่อ สส ของพรรคอื่นๆ ให้แตกแถว เพื่อรักษาเสถียรภาพรัฐบาล
4. นิติสงคราม เพื่อจัดการนายกรัฐมนตรี
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 มิ.ย. 68)