นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ยังมองภาพการลงทุนในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ในเชิงบวก โดย ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) มีโอกาสไต่ขึ้นทะลุระดับ 1,650 จุด ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของปีนี้ที่ทำไว้เมื่อต้นเดือนก.ย. จาก 2 ปัจจัยสนับสนุน ดังนี้
1. แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียน จากการทยอยคลายล็อกดาวน์, การเปิดประเทศรับต่างชาติแบบไม่กักตัวเริ่ม 1 พฤศจิกายน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากภาครัฐที่คาดจะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศ
2. ฤดูกาลเม็ดเงินจากกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เริ่มไหลเข้าในเดือน พ.ย.-ธ.ค.ของทุกปี ซึ่ง บล.ทิสโก้คาดว่าจะช่วยเติมเต็มเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทย 3 เดือนติดต่อกันแล้ว โดยปีนี้คาดว่าจะมีเงินไหลเข้าประมาณ 2 หมื่นล้านบาทสำหรับ SSF และประมาณ 1.6-1.7 หมื่นล้านบาทสำหรับ RMF
อย่างไรก็ตาม ต้องระวังความผันผวนของตลาดในช่วงต้นปีหน้าจากเม็ดเงินกองทุน LTF ที่ครบกำหนดถือครอง 7 ปีปฏิทินจะสามารถขายออกได้เป็นปีแรก ซึ่ง บล.ทิสโก้ประเมินว่าจะมีมูลค่าในปัจจุบันประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท
นายอภิชาติ กล่าวว่า การแกว่งขึ้นของ SET Index รอบนี้อาจขลุกขลักบ้าง เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น จนอาจทำให้ธนาคารกลางหลายแห่งในต่างประเทศต้องปรับนโยบายการเงินเข้มงวด (Hawkish) เร็วขึ้น โดยการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 2-3 พ.ย.นี้ คาดว่าจะประกาศทำ QE Tapering จึงแนะนำให้จับตาการส่งสัญญาณจากเฟด ขณะที่ตลาดกำลังประเมินว่าเฟด อาจเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วขึ้นกว่าปี 66 อิงจากข้อมูล Fed Funds Futures ล่าสุดในช่วงปลายเดือนต.ค.ที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า ตลาดประเมินโอกาสที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้า 2 ครั้ง เพิ่มขึ้นจากเดิมในเดือนก่อนหน้าที่ประเมินขึ้นเพียง 1 ครั้ง
นอกจากนี้ การเริ่มต้นประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/64 ของภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง (Real Sector) ตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้วของไทยถือว่าออกตัวไม่ค่อยดีนัก แม้งบธนาคารส่วนใหญ่ดีกว่าคาดก็ตาม แต่ Real Sector ที่ออกมาส่วนใหญ่ต่ำกว่าคาดเกือบทั้งหมด เช่น DTAC ต่ำกว่าตลาดคาด 14%, HMPRO ต่ำกว่าตลาดคาด 15%, SCGP ต่ำกว่าตลาดคาด 11%, DELTA ต่ำกว่าตลาดคาด 23%, SCC ต่ำกว่าตลาดคาด 29% และ PTTEP ต่ำกว่าตลาดคาด 13% ทำให้นักลงทุนระมัดระวังการลงทุนมากขึ้นในช่วงการทยอยประกาศงบจนถึงกลางเดือนนี้
แต่หลังจากนั้น เชื่อว่านักลงทุนจะกล้ามองไปข้างหน้าว่าผลประกอบการผ่านจุดต่ำแล้ว และกำลังมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น โดยบล.ทิสโก้คาดกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดในปี 65 จะอยู่ที่ 95.3 บาทต่อหุ้น เติบโต 19% ต่อเนื่องจากปี 64 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 80 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นการเติบโตต่อเนื่องจากปี 63 ที่ทำได้เพียง 40 บาทต่อหุ้น
การลงทุนในช่วงเดือน พ.ย.นี้ ยังคงเน้นหุ้นที่คาดว่างบไตรมาส 3/64 จะออกมาดีเป็นพื้นฐาน และเชื่อมต่อกับธีมการลงทุนที่ชอบดังต่อไปนี้
- Re-opening and Recovery แนะนำ BDMS, JWD, SCB, SPALI, TTB และ WHA
- หุ้นที่คาดว่าจะเข้าดัชนี SET50 รวมทั้งลุ้นเข้า MSCI Index แนะนำ TIDLOR และTTB
- หุ้นปันผลเด่น คือ KGI
หุ้นเด่นที่แนะนำในเดือนพ.ย. คือ BDMS, JWD, KGI, SCB, SPALI, TIDLOR, TTB และ WHA ด้านแนวรับสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,615 จุด 1,600-1,605 จุดและแนวรับถัดไปที่ 1,590-1,592 จุด และแนวต้านสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,650-1,660 จุดและ 1,680 จุด ตามลำดับ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 พ.ย. 64)
Tags: RMF, SET Index, SSF, ดัชนีหุ้นไทย, ทิสโก้, หุ้นไทย, อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล