BJC เดินหน้าต่อยอดทุกมิติวางกลยุทธ์ผลักดันรายได้-กำไรโตต่อเนื่องหลังปิดงบโค้งแรกสวย

นางสาวอัญชลี ริมวิริยะทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บจม.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ [BJC] เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1/68 บริษัทฯ มียอดขายอยู่ที่ 38,500 ล้านบาท ลดลง 0.3% จากไตรมาสเดียวกันเมื่อปีก่อน แต่ด้วยกลยุทธ์มุ่งเน้นทำกำไร ทำให้อัตราทำกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 20.4% และกำไรสุทธิปรับปรุงที่ 1,267 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 16.6% ผ่านมาตรการลดต้นทุน สัดส่วนสินค้าที่มีประสิทธิภาพ และการพัฒนาสินค้าใหม่

ในกลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ ที่คิดเป็น 65% ของรายได้ทั้งหมด หรือ 25,483 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1/68

นางสาววิชุดา ศิริพลอยประกาย Head of Investor Relations ของ BJC กล่าวว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าเติบโตกลุ่มธุรกิจนี้ในระดับ mid-single digit

ขณะที่ BJC มีกลยุทธ์ในการผลักดันรายได้และกำไร ดังนี้

1. การขยายและรีโนเวทสาขา โดยในไตรมาส 1/68 ได้เปิดบิ๊กซี ไฮเปอร์มาร์เก็ต 1 สาขา ที่หัวหินประเทศไทย รวมถึงเปิดบิ๊กซี มินิ 16 สาขา หลังจากปิดไฮเปอร์มาร์เก็ตไป 1 แห่ง และรีโนเวททั้งร้านไปแล้ว 3 สาขา ยังมี 14 สาขาที่อยู่ระหว่างการดำเนินงาน ในส่วนอัตราการเช่าพื้นที่ เติบโตขึ้นมาถึง 90.3% เมื่อเดือนมีนาคม มั่นใจว่าจะถึงเป้า 92% สำหรับทั้งปี

2. ปรับเปลี่ยนสัดส่วนสินค้าทำกำไร โดยจะมุ่งเน้นไปที่อาหารสดที่ทำกำไรได้ดีมากขึ้น ด้วยการแข่งขันทางราคา คุณภาพ และการคัดสรรแหล่งที่มา หลังจากเห็นสัญญาณเติบโตตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 67 โดยในไตรมาส 1/68 BJC มียอดการขายอาหารสดในสาขาเดิมโตขึ้นระดับ double digit พร้อมทั้งให้ความสนใจกับอาหารแห้งไปพร้อม ๆ กัน และมีแผนเทิร์นอะราวด์ยอดขายสินค้ากลุ่มที่ไม่ใช่อาหาร หลังสินค้ากลุ่มนี้โตน้อยกว่าคาดในไตรมาส 1/68 โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งในไตรมาส 2/68 จะได้ผลกระทบจากประเทศไทยที่เข้าสู่หน้าฝนเร็วกว่าปกติด้วย

3. เร่งการพัฒนาสินค้า Private Label ที่มีมาร์จิ้นค่อนข้างดี ในไตรมาส 1/68 มีสัดส่วนรายได้จากสินค้า Private Label อยู่ที่ 14.3% ซึ่งโตขึ้น 13.4% จากปีก่อน ได้รับแรงหนุนหลักจากสินค้ากลุ่มอาหาร โดยตั้งเป้าว่าจะทำสัดส่วนสินค้า Private Label ให้ได้ที่ 10% กลาง ๆ ในปี 68 ใกล้เคียงกับในไตรมาส 1/68

4. เพิ่มการขายนอกร้านค้า โดยในไตรมาส 1/68 คิดเป็นสัดส่วนของการขายทั้งหมดที่ 13.1% เพิ่มขึ้นจาก 12.5% เมื่อไตรมาสเดียวกันปีก่อน โดยการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์โตขึ้นถึง 48.9% ส่วนใหญ่เป็นผลจากการขายอาหารสดที่เพิ่มขึ้น บริษัทฯ ตั้งเป้าสัดส่วนการขายนอกร้านค้าโต 10% กลาง ๆ ในปี 68

5. การเพิ่มฐานลูกค้าผู้สมัครสมาชิก Big Point เพื่อผลักดันการขายแบบ personalized ทำให้มีการจับจ่ายและความถี่ในการซื้อสินค้าโดยเฉลี่ยเพิ่มมากขึ้น โดยในไตรมาส 1/68 มีสมาชิกเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านคนจากปีก่อน รวมเป็นสมาชิกทั้งหมด 21.2 ล้านคน และมีการเพิ่มขึ้นของสมาชิกผู้ใช้อายุไม่เกิน 25 อย่างมีนัยสำคัญ

ในกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ ที่คิดเป็น 15% ของรายได้ทั้งหมด หรือ 5,699 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1/68 นางสาวจินดาธิป ศิริคุณากร Head of Strategy & IR ของ BJC เปิดเผยว่า บรรจุภัณฑ์แก้วจะมีแนวโน้มที่สามารถคงอัตราทำกำไรไว้ได้ และจะมุ่งเน้นพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ พร้อมกับบุกตลาดต่างประเทศใหม่ ๆ ด้วย

ส่วนบรรจุภัณฑ์กระป๋องอะลูมิเนียม คาดว่าปรับตัวลงไปถึงจุดที่ต่ำที่สุดแล้วในไตรมาส 1/68 โดยมีอาจจะปัจจัยหนุนหลังจาก ผ่านเทรนด์การยกเลิกใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกมากขึ้น การขยายเข้าประเภทสินค้าใหม่ โดยบริษัทเล็งไว้ที่บรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มในภูมิภาคเวียดนาม และยอดคำสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์จากธุรกิจกาแฟที่เริ่มกลับมาเร่งตัวแล้ว แต่ทั้งนี้ BJC ก็ยอมรับว่ายังมีความเสี่ยงจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ และการเคลื่อนย้ายสินค้าที่อาจจะติดชะงัก โดยคาดว่ากลุ่มบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดในปีนี้จะโตขึ้นในระดับ low-single digit

กลุ่มสินค้าและบริการด้านอุปโภคบริโภค ที่คิดเป็น 15% ของรายได้ทั้งหมด หรือ 5,666 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1/68 บริษัทฯ มองเห็นว่าโมเมนตั้มของการขายยังแข็งแรงอยู่ เนื่องจากการออกสินค้าใหม่ ๆ และการรุกเข้าตลาดในภูมิภาคอื่น ๆ ซึ่งในไตรมาสที่ผ่านมา ก็ยังได้มีการริเริ่มธุรกิจสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง และผ้าอ้อมสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ด้วย คาดว่ากลุ่มอุปโภคบริโภคนี้จะโตในระดับ mid-single digit

และในกลุ่มสินค้าและบริการเวชภัณฑ์และเทคนิค ที่คิดเป็น 5% ของรายได้ทั้งหมด หรือ 2,121 ล้านบาท ในไตรมาส 1/68 ได้มีเพิ่มความสามารถในการทำกำไรผ่านสินค้าใหม่ และลดจากค่าใช้จ่ายกิจการที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก หลังจากที่ได้ยุติการทำการบริษัท ไทย-สแกนดิค สตีล (TSS) เพื่อโฟกัสธุรกิจหลักตามแผนกลยุทธ์ระยะยาว คาดว่าธุรกิจเวชภัณฑ์และเทคนิคจะสามารถโตขึ้นได้ในระดับ mid ถึง high-single digit

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 พ.ค. 68)

Tags: , ,