CONSENSUS: TOP เก็ง Q2/68 ค่าการกลั่นฟื้น โครงการ CFP กลับมาลุยต่อ

บล.กสิกรไทย ระบุว่า TOP เป็นโรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีกำลังการกลั่น 275,000 บาร์เรลต่อวัน และครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 30% ปัจจุบันหุ้นซื้อขายอยู่ในระดับมูลค่าต่ำสุดในประวัติศาสตร์ ด้วย PBV เพียงแค่ 0.4 เท่า ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 52 และอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย -2SD

อย่างไรก็ตาม คาดว่า GRM จะฟื้นตัวในระยะสั้นในไตรมาส Q2/68 หนุนจากการบริโภคน้ำมันเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลในช่วงขับขี่ของตลาดหลัก รวมถึงการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ปริมาณสต็อกของก๊าซโซลีนและน้ำมันดีเซลยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ซึ่งส่งผลให้ Singapore GRM ปรับตัวดีขึ้น โดยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 5.x ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรลในไตรมาส 2 จาก 3.16 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในไตรมาสไตรมาส 1/68

ขณะที่ปริมาณน้ำมันรั่วของ SMB เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีน้อยกว่าเดิมมาก (13% ของครั้งก่อน) และจำกัดความเสียหายได้เร็วประมาณ 12-15 ชั่วโมง แต่อาจมีค่าขนส่งเพิ่มประมาณสัปดาห์ละ 1 ล้านเหรียญฯ และจะน้อยลงช่วงมีการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นหน่วยที่ 3 ในช่วงเดือน ก.ค.(30 วัน) ซึ่งราคาหุ้น TOP ที่ลดลงมาเป็นโอกาสสะสม มองเป็น sentiment เชิงลบช่วงสั้น จากเหตุสุดวิสัย และความเสียหายค่อนข้างจำกัด

สำหรับราคาหุ้น TOP ที่ขยับตัวขึ้นมาเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน นายจักรพงศ์ เชวงศรี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดตอบรับการนำสินทรัพย์ที่มีอยู่มาสร้างรายได้ (Asset Monetization) ตามกลยุทธ์ของกลุ่ม บมจ.ปตท.[PTT] ที่ให้นำทรัพย์สินของบ.ลูก อาทิ IRPC, PTTGC, TOP นำมาขายให้กับ PTT เพื่อนำเงินมาลดหนี้ เพราะ PTT มีต้นทุนดอกเบี้ยเงินกู้กว่า 2% ขณะที่ บ.ลูกมีต้นทุน 5%

ทั้งนี้ คาดว่าในไตรมาส 2/68 น่าจะมีกำไรใกล้เคียงกับไตรมาส 1/68 (QoQ) หรือดีกว่าเล็กน้อย แม้ยังต่ำกว่าไตรมาส 2/67 (YoY) โดยค่าการกลั่นในไตรมาส 2/68 อยู่ประมาณ 5-6 เหรียญ/บาร์เรล สูงขึ้นกว่าในไตรมาส 1/68 อีกทั้งราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 2/68 ปรับตัวดีขึ้นกว่าไตรมาส 1/68 ทำให้โอกาสขาดทุนสต๊อกน้ำมันลดลง

ขณะที่โครงการพลังงานสะอาด (CFP) อยู่ระหว่างหาผู้รับเหมาให้ครบและเดินหน้าสร้างต่อได้ โดยต้นทุนโครงการอยู่ในวงเงิน 7,100 ล้านเหรียญสหรัฐ

บล.ลิเบอเรเตอร์ ระบุในบทวิเคราะห์หุ้น TOP ไตรมาส 2/68 คาด GRM ฟื้นตัวและดีต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง ผู้บริหารคาดแนวโน้มราคาน้ำมันดิบช่วงที่เหลือของปีนี้จะอยู่ระหว่าง 60-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยมีปัจจัยลบที่กระทบคือ OPEC มีการเพิ่มกำลังการผลิตเร็วกว่าคาดจากที่เคยลดกำลังการผลิตลง 2.2 ล้านบาร์เรล/วันก่อนหน้านี้ และคาดจะกลับไปผลิตเท่าเดิมประมาณเดือน ก.ย.73 แต่จากการเพิ่มกำลังการผลิตมากกว่าแผนถึง 3 เท่า ทำให้จะกลับมาครบในเดือน ต.ค.68 นี้

ส่วนภาษี “ทรัมป์” ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์การใช้น้ำมันให้ลดลง และการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์สหรัฐ-อิหร่าน หากได้ข้อสรุปจะทำให้อุปทานเพิ่มขึ้นอีกด้วย

แนวโน้ม GRM ของโรงกลั่น คาดจะดีขึ้นจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะแก๊สโซลีนและน้ำมันเครื่องบิน ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับ เข้าสู่ฤดูท่องเที่ยว รวมถึงโรงกลั่นในสหรัฐและยุโรปปิดตัวลงหลังจากกำไรหดตัว ขณะที่น้ำมันกลุ่มดีเซลและน้ำมันเตาคาดได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ลดลง เนื่องจากส่วนใหญ่จะใช้เพื่ออุตสาหกรรมและขนส่งเป็นหลัก โดย 2QTD SGRM อยู่ที่ 5.1 เหรียญสหรัฐจาก 3.16 เหรียญสหรัฐในไตรมาส 1/65

กลุ่มปิโตรเคมี โดยเฉพาะกลุ่มอะโรเมติกส์ คาด PX จะกระทบน้อยกว่า BZ จากอุปทานใหม่เพิ่มน้อยกว่าอุปสงค์ แต่ระหว่างการชะลอการขึ้นภาษีระหว่างสหรัฐ-จีนจะช่วยให้ดีขึ้นช่วงสั้น กลุ่ม Lube base นั้น Base Oil ลดลงจากอุปทานเพิ่มขึ้น ขณะที่ Bitumen สเปรดเพิ่มขึ้นจากอุปสงค์เพิ่ม

เราคาดแนวโน้มช่วงที่เหลือของปีธุรกิจหลักยังเห็นการฟื้นตัว เพียงแต่อาจได้รับผลกระทบจากรายการพิเศษขาดทุนสต็อกตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลง q-q ซึ่งราคาเฉลี่ย Q1/25 อยู่ที่ 76.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ราคาล่าสุดอยู่ 63.7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

“การดำเนินงานไตรมาส 1/68 ยังดีตามคาด ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 2/68 ธุรกิจหลักคาดฟื้นตัวตาม GRM ที่ดีขึ้นแต่อาจได้รับผลกระทบจากขาดทุนสต็อกมากดดัน อย่างไรก็ตาม โครงการ CFP ที่มีความชัดเจนขึ้นหลัง TOP เดินหน้าหาผู้รับเหมารายใหม่ คาดจะทราบผลอย่างช้าในไตรมาส 3/68 นี้ทำให้ทุกอย่างดูคลายกังวลไปได้”