สเก็ตเชอร์ส (Skechers) แบรนด์รองเท้ายักษ์ใหญ่อันดับ 3 ของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันจันทร์ (5 พ.ค.) ว่า จะขายกิจการในข้อตกลงมูลค่า 9.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพียงไม่กี่วันหลังจากที่บริษัทฯ ลงนามในจดหมายเปิดผนึกเตือนว่านโยบายภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ อาจสร้างความเสียหายร้ายแรงต่ออุตสาหกรรมรองเท้าของสหรัฐฯ เอง
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า แม้ในแถลงการณ์การขายกิจการครั้งนี้จะไม่มีการเอ่ยถึงผลกระทบจากภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่สื่อส่วนใหญ่เชื่อมโยงข้อตกลงครั้งนี้กับมาตรการดังกล่าว เนื่องจากรองเท้าเกือบทั้งหมดของสเก็ตเชอร์สที่ขายเมื่อปีที่แล้วนั้นผลิตในเอเชีย และประมาณสองในสามของรายได้มาจากตลาดนอกสหรัฐฯ
สเก็ตเชอร์ส พร้อมด้วยบริษัทรองเท้าชั้นนำกว่า 80 แห่ง รวมถึงไนกี้ (Nike) และอาดิดาส (Adidas) ในนามของสมาคมผู้จัดจำหน่ายและค้าปลีกรองเท้าแห่งสหรัฐฯ ได้ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกถึงทรัมป์เมื่อวันที่ 29 เม.ย. ว่ามาตรการภาษีของทรัมป์เป็นภัยคุกคามต่ออุตสาหกรรมรองเท้าในสหรัฐฯ และเรียกร้องให้ยกเว้นรองเท้าจากแผนการเก็บภาษีแบบตอบโต้
“พวกเราได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าอย่างหนัก เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ เองก็เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในอุตสาหกรรมของเราในอัตราที่สูงอยู่แล้ว ก่อนที่จะมีการเพิ่มภาษีใหม่เข้ามาซ้ำเติมอีก” จดหมายระบุ
สเก็ตเชอร์สก่อตั้งขึ้นในปี 2535 ปัจจุบันเป็นแบรนด์รองเท้าใหญ่อันดับ 3 ในสหรัฐฯ โดยมีรายได้สูงถึง 9 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567 และมีกำไรสุทธิ 640 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ข้อมูลจากแฟ็กต์เซ็ต (FactSet) ระบุว่า รายได้ของสเก็ตเชอร์ส ประมาณ 15% มาจากจีน ขณะที่สมาคมเครื่องแต่งกายและรองเท้าสหรัฐ (AAFA) เปิดเผยว่า 97% ของเสื้อผ้าและรองเท้าที่จำหน่ายในสหรัฐฯ เป็นสินค้านำเข้า โดยส่วนใหญ่มาจากเอเชีย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 พ.ค. 68)
Tags: Skechers, ขายกิจการ, ภาษีทรัมป์, สหรัฐ, สเก็ตเชอร์ส, อุตสาหกรรมรองเท้า