บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป [TU] รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปี 68 ด้วยยอดขาย 29,789 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,019 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นมาที่ 18.8% เป็นสถิติสูงสุดสำหรับการเติบโตในไตรมาสแรก
TU ชี้แจงว่าไตรมาสแรกของปี 68 ถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าทาย จากสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจมหภาคที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แม้จะเผชิญกับปัจจัยผันผวนดังกล่าว บริษัทยังคงมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักอย่างต่อเนื่อง
บริษัทรายงานยอดขายที่ 29,789 ล้านบาท ลดลง 10.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีสาเหตุหลักจากผลการดำเนินงานปกติที่ปรับตัวลดลง 6.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสะท้อนถึงยอดขายที่ลดลงในกลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป อาหารทะเลแช่แข็ง และผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า ขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงยังคงเติบโตในระดับปานกลาง นอกจากนี้ยอดขายได้รับผลกระทบเชิงลบบางส่วนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 3.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU กล่าวว่า ไตรมาสแรกของปี 68 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิที่ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการทำทรานฟอร์เมชั่นตามกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 (Strategy 2030) อยู่ที่ 1,317 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 8.9% ส่วนกำไรสุทธิ อยู่ที่ 1,019 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,153 ล้านบาท
ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีคือ 1 เท่า ทำให้บริษัทความคล่องตัวและสามารถสร้างโอกาสสำหรับการลงทุนในอนาคตได้ ทั้งนี้ Strategy 2030 นับเป็นโรดแมพใหม่ เพื่อสร้างการเติบโตครั้งสำคัญของ TU เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำของโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาพจากท้องทะเล
“แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมจะมีความท้าทายอย่างมาก แต่เรายังคงมุ่งมั่นในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก ผ่านการลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว จนสามารถสร้างผลกำไรที่ดี นอกจากนี้ เรายังคงเดินหน้าสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับองค์กร เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจให้เกิดความคล่องตัว มีประสิทธิภาพ และรวดเร็วยิ่งขึ้น การวางรากฐานการทำงานที่แข็งแกร่งกำลังเริ่มผลิดอกออกผล และจะสร้างประโยชน์และความสำเร็จให้กับองค์กรมากขึ้นในอนาคต” นายธีรพงศ์ กล่าว
สำหรับผลประกอบการตามกลุ่มธุรกิจในไตรมาสแรก พบว่า กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงยังเติบโตต่อเนื่อง มียอดขายรวม 4,174 ล้านบาท ขยายตัว 5.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 24.5%
กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป มียอดขายรวม 14,762 ล้านบาท ลดลงราว 14% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลจากปริมาณความต้องการสินค้าในตะวันออกกลางในปีก่อนที่สูงมากกว่าปกติ และการลดลงของยอดขายผลิตภัณฑ์รับจ้างผลิตในยุโรป จากการที่ลูกค้ากลุ่มนี้ชะลอการสั่งซื้อสินค้า เนื่องด้วยราคาปลาที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มอาหารทะเลแปรรูปในไตรมาสนี้ทำได้ดีถึง 19.4%
กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง มียอดขายรวม 8,441 ล้านบาท ลดลง 12.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลจากราคากุ้งในสหรัฐอเมริกาที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ยอดขายกุ้งชะลอตัว แต่บริษัทฯ ยังคงสามารถทำอัตรากำไรขั้นต้นได้ดีขึ้นจาก 11.8% เมื่อปีก่อน มาอยู่ที่ 12.4% และสุดท้ายคือกลุ่มธุรกิจสินค้าเพิ่มมูลค่าและอื่น ๆ ทำยอดขายได้ 2,412 ล้านบาท ลดลงราว 3.1%
จากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก TU ยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ในกรณีที่รัฐบาลสหรัฐดำเนินการตามอัตราภาษีที่ประกาศจริง บริษัทคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงทางภาษีไว้แล้วและได้เตรียมพร้อมโดยการสำรองสินค้าทุกประเภทในสหรัฐไว้เรียบร้อยแล้วเพื่อให้มีสินค้าในตลาดเพียงพอสำหรับการขายราว 4-6 เดือน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในระยะสั้น
ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงใช้ประโยชน์จากการมีฐานการผลิตและแหล่งวัตถุดิบทั่วโลก เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดจากการขึ้นภาษีให้เหลือน้อยที่สุด โดย TU มีฐานการผลิต 15 แห่ง ใน 13 ประเทศ เช่น กานา เซเชลส์ โปแลนด์ สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม เป็นต้น ทำให้บริษัทฯ มีความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นจากความไม่แน่นอนทางภาษี
นอกจากนี้ ในไตรมาสแรกของปีไทยยูเนี่ยนยังได้รับการประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ ระดับ A แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ จาก Japan Credit Rating หรือ JCR ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากบริษัทมีศักยภาพในการเติบโตและมีธุรกิจหลากหลายอยู่ทั่วโลก ทั้งนี้ อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศนี้อยู่ในอันดับเดียวกันกับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ได้รับจาก JCR พร้อมกันนี้ JCR ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินในประเทศของบริษัทไว้ที่ระดับ A แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพเช่นเดียวกัน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 พ.ค. 68)
Tags: TU, ธีรพงศ์ จันศิริ, หุ้นไทย, ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป