คลัง ระบุเศรษฐกิจไทยมี.ค.มีสัญญาณชะลอตัว ตามบริโภค-ลงทุนเอกชน-ส่งออกหดตัว

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในเดือนมี.ค.67 มีสัญญาณชะลอตัวจากการส่งออกสินค้าที่หดตัวสูง การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนภาคเอกชนที่หดตัวจากเดือนก่อน

อย่างไรก็ดี ภาคการท่องเที่ยวยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศและผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้า กำลังซื้อของผู้บริโภค และปริมาณการผลิตภาคอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิดต่อไป

– เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน มีสัญญาณหดตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ในเดือนมี.ค. 67 เพิ่มขึ้น 0.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ -3.4%

ปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งและยอดรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนมี.ค.67 ลดลง 24.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ และ -17.5% ตามลำดับ และลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ -8.5% และ -5.7% ตามลำดับ

ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ในเดือนมี.ค.67 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 63.0 จากระดับ 63.8 ในเดือนก่อน เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า อย่างไรก็ดีรายได้เกษตรกรที่แท้จริง ในเดือนมี.ค.67 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 2.8%

– เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณหดตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากสะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุน ในเดือนมี.ค.67 เพิ่มขึ้น 12.0% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 12.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล

ปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ในเดือนมี.ค. 67 ลดลง 32.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลง 6.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล

สำหรับการลงทุนภาคเอกชนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ในเดือนมี.ค. 67 ลดลง 11.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลง 2.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล ขณะที่ภาษีจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ลดลง 13.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

– มูลค่าการส่งออกสินค้าหดตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนมี.ค.67 อยู่ที่ 24,960.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว 10.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และหากพิจารณาเฉพาะมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ไม่รวมน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่า หดตัว 5.6% เนื่องจากปัจจัยฐานสูงจากช่วงเดียวกันปีก่อน ทำให้สินค้าในหมวดน้ำตาลทราย ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ หดตัว 45.6% 16.7% 12.4% และ 11.8% ตามลำดับ

อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้ายางพารา ข้าว และอาหารสัตว์เลี้ยง ยังคงขยายตัวที่ 36.9% 30.6% และ 29.6% ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า ปรับตัวลดลงในหลายตลาด อาทิ ตลาดญี่ปุ่น อาเซียน-9 และจีน ที่ลดลง 19.3% 15.7% และ 9.7% ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ตลาดทวีปออสเตรเลีย และสหรัฐฯ ยังคงขยายตัว 13.5% และ 2.5% ตามลำดับ

– เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน สำหรับภาคบริการมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ในเดือนมี.ค. 67 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม จำนวน 2.98 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 31.4% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 1.3% โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากจีน มาเลเซีย รัสเซีย เกาหลีใต้ และอินเดีย ตามลำดับ เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวภายในประเทศที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ในเดือนมี.ค. 67 จำนวน 22.4 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 9.9% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ 9.1%

ขณะที่ภาคการเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรกรรม ในเดือนมี.ค. 67 ลดลง 4.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลง 1.3% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล จากการลดลงของผลผลิตในหมวดพืชผลสำคัญ อาทิ ข้าวเปลือก ยางพารา และมันสำปะหลัง

อย่างไรก็ดี ผลผลิตในหมวดปศุสัตว์ยังคงขยายตัว สำหรับภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนมี.ค.67 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 92.4 จากระดับ 90.0 ในเดือนก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นต้วต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวและการขยายตัวของภาคการส่งออก ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักของไทย

ขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมี.ค. 67 อยู่ที่ -0.47% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.37% ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนก.พ.67 อยู่ที่ 62.5% ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561

สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมี.ค.67 อยู่ในระดับสูงที่ 223.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 เม.ย. 67)

Tags: , , ,