ท่องเที่ยวฟื้น หนุนธุรกิจที่พักบูมต่อเนื่อง-โรงแรมไซส์เล็กครองตลาด

กระทรวงพาณิชย์ กางผลวิเคราะห์ธุรกิจโรงแรมและที่พัก 7 เดือนแรกปีนี้ เปิดเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 184 ราย พบบริษัทขนาดเล็ก ที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท ครองตลาด 95.04% สะท้อนศักยภาพธุรกิจของคนตัวเล็กที่มีพลัง

นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กว่า 3 ปีที่ผ่านมา ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 การปิดประเทศ และชะลอการเดินทาง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากกับการดำเนินธุรกิจ หลายธุรกิจต้องหยุดชะงักลง โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม และที่พักได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งในปี 66 เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง ธุรกิจกลับมาดำเนินกิจการแบบวิถีปกติใหม่ (New Normal)

กรมฯ ได้วิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจที่มีศักยภาพ เพื่อนำมากำหนดแนวทางพัฒนาและอำนวยความสะดวกให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคง พบว่า ธุรกิจโรงแรมและที่พัก มีสัญญาณการฟื้นตัวเด่นชัด อัตราการเติบโตของธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดใน 7 เดือนแรก โดยตั้งแต่ม.ค.-ก.ค. 66 มีนิติบุคคลตั้งใหม่จำนวน 546 ราย เพิ่มขึ้นถึง 184 ราย เมื่อเปรียบเทียบกับปี 65 ในช่วงเวลาเดียวกัน คิดเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นถึง 51%

นายทศพล กล่าวว่า ธุรกิจโรงแรมและที่พักในประเทศไทยที่จดทะเบียนในรูปแบบนิติบุคคลมีจำนวน 12,826 ราย คิดเป็น 1.45% ของธุรกิจทั้งหมด มีมูลค่าทุน 608,777 ล้านบาท คิดเป็น 2.86% ของธุรกิจทั้งหมด หรือ 21.47 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่ดำเนินธุรกิจรูปแบบบริษัทจำกัดจำนวน 11,359 รายคิดเป็น 88.56% มูลค่าทุนจำนวน 574,720 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตที่น่าสนใจ คือ เป็นธุรกิจขนาดเล็ก (S) มากถึง 12,190 ราย คิดเป็น 95.04% นอกนั้นเป็นธุรกิจขนาดกลาง (M) จำนวน 514 ราย คิดเป็น 4.01% และธุรกิจขนาดใหญ่ (L) จำนวน 122 ราย คิดเป็น 0.95% จากตัวเลขข้างต้นแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและโอกาสของธุรกิจรายย่อย ที่สามารถพลิกฟื้นวิกฤตธุรกิจโรงแรมและที่พักให้กลับมาเติบโตได้

จากปัจจัยที่ธุรกิจในช่วง 6 เดือนแรกของปี 66 เริ่มฟื้นตัว ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางในประเทศมากขึ้น มีผู้เข้าพักสูงถึง 71 ล้านคน รวมถึงโรงแรมและที่พักในพื้นที่ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวสูงสุด คือ กรุงเทพฯ จำนวน 15 ล้านคน เพิ่มขึ้น 120.9% และพื้นที่ในภาคใต้ จำนวน 13 ล้านคน เพิ่มขึ้น 97.7% จากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2565 ประกอบกับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศกว่า 12.9 ล้านคน

ขณะเดียวกัน ปัจจัยด้านกฎหมายที่มีผลบังใช้ ซึ่งเอื้ออำนวยให้ธุรกิจสามารถนำอาคาร ห้องแถว ตึกแถว หรือโฮมสเตย์มาใช้ประกอบกิจการโรงแรมได้ ทำให้เกิดนักธุรกิจหน้าใหม่ที่ให้บริการโรงแรมและที่พักมีจำนวนมากขึ้น ราคาที่พักมีความหลากหลาย และยังเกิดรูปแบบใหม่ในการให้บริการที่เป็นเอกลักษณ์ของที่พักในแต่ละท้องถิ่น จะช่วยดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาใช้บริการมากขึ้น สร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจ

ทั้งนี้ หากวิเคราะห์ลึกไปถึงข้อมูลงบการเงิน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ระบุได้ว่า ธุรกิจโรงแรมฯ สามารถปรับตัวเดินต่อได้เพราะรายได้รวมในปีงบการเงิน 2565 มีจำนวนเพิ่มขึ้น 103,491 ล้านบาท คิดเป็น 1.07 เท่าจากปีก่อนหน้า และเมื่อพิจารณาถึงกำไรขาดทุน พบว่า ยังมีการขาดทุนจำนวน 24,162 ล้านบาท ซึ่งเป็นปัจจัยปกติที่มีผลจากการเผชิญวิกฤตในช่วงที่ผ่านมา แต่ประเด็นสำคัญ คือ การขาดทุนที่ลดลงกว่า 60.47% จากปีก่อนหน้าเป็นสัญญาณที่ดี บ่งบอกถึงการเติบโตของธุรกิจโรงแรมและที่พักในประเทศไทย

“ธุรกิจโรงแรมและที่พัก ยังเป็นธุรกิจแห่งโอกาสของประเทศไทย การที่ธุรกิจท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างก้าวกระโดด จะส่งผลเชิงบวกต่อธุรกิจโรงแรมตามมา อีกทั้งการปรับตัวของผู้ประกอบธุรกิจในการพัฒนารูปแบบการให้บริการที่มุ่งเน้นมาตรฐานตามหลักสากล การนำเทคโนโลยีมาช่วยในการนำเสนอธุรกิจที่อยู่ในท้องถิ่นให้เข้าถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ หรือการจองที่พักที่สะดวกสบายง่ายขึ้นก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ธุรกิจโรงแรม เติบโตอย่างมั่นคงได้” นายทศพล กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 ส.ค. 66)

Tags: , , , ,