ธปท. เล็งปรับลดประมาณ GDP ในเดือนก.ย. หลังส่งออกฟื้นช้ากว่าคาด

นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รอบต่อไป (27 ก.ย.) มีโอกาสสูงที่จะปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ลงจากระดับ 3.6% ที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนพ.ค. โดยมีสาเหตุหลักมาจากแนวโน้มการส่งออกฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาด

“มีโอกาสสูง ที่จะปรับประมาณการ GDP ลงในรอบต่อไป หากตัวเลขเศรษฐกิจเดือนส.ค.ยังไม่สูง…การปรับ GDP ลดลง จะมาจากอุปสงค์ต่างประเทศเป็นสำคัญ คือ การส่งออกที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ส่วนอุปสงค์ในประเทศ ยังฟื้นตัวดี ไม่ได้แย่” นายสักกะภพ กล่าว

พร้อมระบุว่า การส่งออกสินค้าที่ชะลอตัวลงกว่าที่คาด จากภาวะเศรษฐกิจของหลายประเทศที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะจีน ซึ่งในช่วงไตรมาส 3/2566 การส่งออของไทยอาจยังไม่เห็นการฟื้นตัว แต่จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวได้ในช่วงไตรมาส 4/2566 ซึ่งเป็นผลของฐานวงจรอิเล็กทรอนิกส์โลกที่เริ่มฟื้นตัว แต่ก็ยังมีความเสี่ยงของเศรษฐกิจจีน ซึ่งคาดว่าจะทยอยฟื้นตัวได้ชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี 2567

ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวในปีนี้ แม้จะปรับตัวดีขึ้น แต่ก็มองว่าผลดีกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกลุ่มท่องเที่ยว อาทิ โรงแรม และอื่น ๆ อาจจะน้อยกว่าที่คาดการณ์ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายตัวหัวของนักท่องเที่ยวที่น้อยกว่าที่ประเมินไว้ เพราะนักท่องเที่ยวที่เข้ามาส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเดินทางระยะสั้น ทำให้มีค่าใช้จ่ายต่อหัวค่อนข้างต่ำ

นอกจากนี้ เม็ดเงินที่เกี่ยวเนื่องกับนโยบายของรัฐบาล ก็ไม่ได้มีผลกับเศรษฐกิจในปีนี้มากนัก แต่คาดว่าจะมีผลในปี 2567 เป็นสำคัญ ดังนั้นจึงต้องโฟกัสนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลที่อาจจะมีปัจจัยช่วยทำให้เศรษฐกิจโตได้เร็วในปีหน้า

“แนวโน้มข้างหน้า เศรษฐกิจยังอยู่ในทิศทางฟื้นตัว จากการท่องเที่ยวที่ยังแรง และคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวได้ดีขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีกับภาคการส่งออก อีกทั้งรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามา น่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม หากดูตามเครื่องยนต์ที่เข้ามาทั้งหมด ยังเป็นไปในทิศทางกระตุ้น ดังนั้นมีโอกาสสูงที่เศรษฐกิจไทยปี 2567 จะโตได้มากกว่าปีนี้” นายสักกะภพ กล่าว

นายสักกะภพ ยังกล่าวถึงนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของรัฐบาลนำโดยพรรคเพื่อไทย ที่คาดว่าจะใช้เม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาทว่า เม็ดเงิน 5 แสนล้านบาท จะคิดเป็นมูลค่าประมาณ 3% ของ GDP ซึ่งการที่นโยบายเงินดิจิทัลดังกล่าวจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยได้มากน้อยเพียงใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าเงินจะหมุนในระบบเศรษฐกิจได้กี่รอบ แม้ว่าอาจจะกระทบให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นบ้างเมื่อเทียบกับอดีต

“เม็ดเงิน 5 แสนล้านบาท คิดเป็น 3% ของ GDP ดังนั้นนโยบายแจกเงินดิจิทัลจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจแค่ไหน ก็ขึ้นกับว่าเงินจะหมุนกี่รอบ เพราะ 1 รอบเท่ากับ 3%” นายสักกะภพ ระบุ

อย่างไรก็ดี ธปท.ยังไม่ได้นำนโยบายแจกเงินดิจิทัลเข้าไปอยู่ในสมมติฐานประมาณการเศรษฐกิจไทยปีหน้า แต่ประเมินแล้วว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการแจกเงินดิจิทัลนั้น มีมุมมองความเสี่ยงเชิงบวก แต่ทั้งนี้จะต้องประเมินเรื่องของการจัดเก็บรายได้รัฐบาลด้วย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 ส.ค. 66)

Tags: , , , , ,