วิจัยกสิกรฯ จับตาการฟื้นตัวท่องเที่ยวไทย ท่ามกลางโจทย์ใหญ่ขึ้นค่าแรง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดในปี 66 จำนวนต่างชาติเที่ยวไทยแตะ 28.5 ล้านคน คาดรายได้จากชาวต่างชาติ 1.33 ล้านล้านบาท แต่การใช้จ่ายต่อหัวไม่สูงเท่าปี 62 ผลจากเศรษฐกิจชะลอ งบท่องเที่ยวมีจำกัด พฤติกรรมท่องเที่ยวเปลี่ยนไป ส่งผลให้ธุรกิจโรงแรม-ที่พัก รายฟื้นตัวไม่เท่ากัน ขณะที่ต้องเผชิญกับโจทย์ต้นทุนธุรกิจสูงขึ้น โดยเฉพาะหากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ

โดยในช่วงที่เหลือของปี 66 คาดชาวต่างชาติเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจากช่วง 1 ม.ค.-28 พ.ค. 66 ที่ชาวต่างชาติเที่ยวไทยมีจำนวน 10.45 ล้านคน และทั้งปี 66 ชาวต่างชาติเที่ยวไทยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 28.5 ล้านคน โดยนักท่องเที่ยวจากจีนจะกลับมาครองอันดับ 2 (จากปี 65 ที่อยู่อันดับ 13)

ขณะที่ชาติที่น่าจะกลับมาเติบโตกว่าปี 62 หรือก่อนการระบาดของโรคโควิด คือ มาเลเซีย เวียดนาม อิสราเอล ซาอุดีอาระเบีย และรัสเซีย อย่างไรก็ดี การท่องเที่ยวยังมีหลายโจทย์ที่ยังเป็นอุปสรรครออยู่ อาทิ

1. ความสามารถในการรองรับปริมาณเที่ยวบินที่ยังมีข้อจำกัด แม้ขณะนี้ทางการได้มีการแก้ไขปัญหาความแออัดและคอขวดในท่าอากาศยานระดับหนึ่งแล้ว ซึ่งในช่วง 5 เดือนแรกของปี 66 ปริมาณเที่ยวบินระหว่างประเทศฟื้นตัวมาประมาณ 58% ของปริมาณเที่ยวบินระหว่างประเทศในช่วงเดียวกันของปี 62 แต่เนื่องจากยังติดปัญหาเรื่องของผู้ให้บริการภาคพื้นดิน รวมถึงการขาดแคลนแรงงาน ทำให้การเพิ่มปริมาณเที่ยวบินตามคำขอของสายการบินต่างๆ จึงยังต้องใช้เวลา

2. การปรับรูปแบบการยื่น E-Visa ซึ่งจะมีผลกระทบต่อตลาดนักท่องเที่ยวจีนในระยะสั้น โดยเฉพาะการเดินทางท่องเที่ยวแบบกลุ่มทัวร์ขนาดใหญ่ ซึ่งคงต้องให้เวลาผู้ประกอบการในการปรับตัวและสร้างความคุ้นชินกับระบบการใช้งาน

นอกจากนี้ การยื่นเอกสารที่ต้องแสดงหลักฐานเงินฝากขั้นต่ำในบัญชี 10,000 หยวน คงจะกระทบกลุ่มเดินทางท่องเที่ยวเองที่เป็นกลุ่มนักเรียน/นักศึกษาบ้าง ซึ่งในช่วงเดือนก.ค.-ส.ค. กลุ่มนักเรียน/นักศึกษา จะนิยมเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ เนื่องจากเป็นช่วงปิดภาคการศึกษา

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในช่วงที่เหลือของปี นักท่องเที่ยวจีนน่าจะทยอยฟื้นตัว สอดรับกับการเพิ่มเที่ยวบิน ไทยยังเป็นจุดหมายที่คนจีนเลือกเดินทาง จึงมองว่าชาวจีนเดินทางมาไทยจะอยู่ที่ประมาณ 4.8 แสนคน/เดือน ในช่วงครึ่งปีหลัง จาก 2.5 แสนคน/เดือนในช่วงครึ่งปีแรก โดยชาวจีนเดินทางมาไทยส่วนใหญ่เป็นการเดินทางมาเอง (FIT) จองที่พักและแพคเกจท่องเที่ยวผ่านออนไลน์ทราเวลเอเจนท์ของจีน

3. ภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงสูง อย่างตลาดนักท่องเที่ยวหลักของไทยทั้งสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น รวมถึงจีน ยังเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของตลาดในช่วงที่เหลือของปี นอกจากนี้ ยังต้องติดตามปัญหาระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งหากเหตุการณ์ยกระดับความรุนแรง ก็อาจส่งผลกระทบต่อตลาดนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งเริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของชาวรัสเซีย

*ท่องเที่ยวยังมีโจทย์ท้าทาย ทั้งการใช้จ่ายต่อทริปต่ำ และต้นทุนแรงงาน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้ประเมินว่ารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 66 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.33 ล้านล้านบาท แต่การใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวต่อทริปยังต่ำ เฉลี่ยอาจอยู่ที่ประมาณ 46,900 บาทต่อคนต่อทริป (ในปี 62 ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 47,895 บาทต่อคนต่อทริป) มาจากหลายปัจจัย ได้แก่ โครงสร้างของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่าครึ่ง ยังเป็นกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำกว่า 40,000 เหรียญสหรัฐต่อปี ดังนั้น การชะลอตัวของเศรษฐกิจแม้จะไม่กระทบแผนการท่องเที่ยว แต่มีผลต่องบประมาณการท่องเที่ยวและการเลือกที่พักที่ราคาไม่สูง

นอกจากนี้ ยังมาจากพฤติกรรมการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป อย่างการเน้นเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ และการกินอาหารแบบคนท้องถิ่นอย่าง Street food รวมถึงอุปทานโรงแรมและที่พักที่มีสูง และแนวโน้มที่พักเปิดใหม่เข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวหลัก ทำให้การแข่งขันในธุรกิจมีความรุนแรง ผู้ประกอบการบางรายยังต้องใช้กลยุทธ์ราคาในการทำตลาด

ขณะที่การฟื้นตัวของรายได้ธุรกิจปรับตัวดีขึ้น แต่ยังไม่ทั่วถึง เนื่องจากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังเน้นไปที่จังหวัดหลักของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ กรุงเทพฯ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี ชลบุรี เป็นต้น แม้เมืองรองเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติยังนิยมท่องเที่ยวในจังหวัดหลัก

สำหรับราคาที่พักเฉลี่ยทั่วประเทศในปี 66 มองว่าจะปรับขึ้นประมาณ 30% จากปีที่ผ่านมา แต่ในภาพรวมยังต่ำกว่าปี 62 จากการแข่งขันที่ยังรุนแรง หลังจากผู้ประกอบการทยอยกลับมาเปิดดำเนินการ ทั้งฟื้นฟู และขยายการลงทุน และการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ช่วยหนุนให้ปีนี้อัตราการเข้าพักทั่วประเทศ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 66% จาก 48% ในปี 65

นอกจากนี้ ธุรกิจมีโจทย์ต้นทุนเพิ่มขึ้นหลายด้าน อาทิ ต้นทุนแรงงานที่สูง จากการแข่งกันดึงดูดแรงงานเนื่องจากปัญหาแรงงานขาดแคลน นอกจากนี้ ยังมีต้นทุนทางการเงิน จากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ทรงตัวสูง ขณะที่ต้นทุนค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคอย่างค่าไฟ ต้นทุนอาหารและเครื่องดื่มยังสูง ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการสร้างรายได้และผลกำไรของผู้ประกอบการ

*แนะรัฐบาลใหม่ ดูแลต้นทุนแรงงาน มีนโยบายพัฒนาการท่องเที่ยวที่ชัดเจน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า โจทย์สำคัญของภาคการท่องเที่ยวสำหรับรัฐบาลชุดใหม่ ในระยะสั้น คือ การดูแลประเด็นต้นทุนการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะต้นทุนแรงงาน ซึ่งเป็นประเด็นที่คาอยู่มาตั้งแต่ก่อนหน้าการเลือกตั้ง และคงจะยังเป็นเรื่องต่อเนื่องต่อไป แม้กระทั่งหลังจากที่ค่าแรงขั้นต่ำอาจถูกปรับขึ้นตามที่พรรคการเมืองได้หาเสียงกันไว้

อย่างไรก็ดี จริงๆ แล้ว ธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ประสบกับสถานการณ์ที่ยังลำบาก แม้โควิดจะคลี่คลายลง เนื่องจากแม้รายได้ธุรกิจในภาพรวมจะมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างชัดเจน แต่ก็ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ โดยอาจต้องใช้เวลาอีก 1-2 ปีกว่าที่ปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติจะกลับสู่ระดับปี 62 หรือก่อนโควิด ส่งผลให้การทยอยเรียกแรงงานที่ได้คืนถิ่นไปในช่วงโควิดให้กลับมาเท่าเดิมของธุรกิจ จึงยังไม่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ (และแรงงงานคืนถิ่นบางส่วนก็มีอาชีพอื่นที่มั่นคงแล้ว)

ขณะเดียวกัน เมื่อความต้องการแรงงานมีมากขึ้นตามการฟื้นตัวของธุรกิจ รวมถึงพรรคการเมืองต่างๆ มีนโยบายหาเสียงเรื่องการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำในจังหวะของการเลือกตั้ง ทำให้แรงงานที่จะกลับเข้าสู่ธุรกิจ มีความคาดหวังว่าจะได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้น ดังนั้น จึงเป็นแรงกดดันด้านต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้นต่อธุรกิจ ทั้งในด้านการหาแรงงาน และค่าแรงที่ต้องปรับขึ้น ถึงแม้ว่าธุรกิจจะไม่ได้จ่ายค่าแรงอิงตามค่าแรงขั้นต่ำทั้งหมดก็ตาม

อย่างไรก็ตาม แม้ถัดจากนี้รัฐบาลชุดใหม่จะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำตามที่ได้มีการหาเสียงไว้ ประเด็นต้นทุนแรงงานของธุรกิจก็จะยังไม่หายไป โดยเฉพาะปริมาณนักท่องเที่ยวยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และมีการขยายการลงทุนในตลาดมากขึ้น ทำให้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานจะยังคงอยู่หรืออาจรุนแรงขึ้น

ส่วนกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบมาก จะเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางหรือเล็กที่มีข้อจำกัดในการปรับตัว หรือมีความสามารถในการทำกำไรต่ำ เช่น ผู้ประกอบการที่อยู่ในเมืองท่องเที่ยวรอง ซึ่งโดยปกติมีจำนวนนักท่องเที่ยวไม่สูง ทำให้อาจเป็นความเสี่ยงที่ต้องลดการให้บริการลง หากไม่สามารถปรับเพิ่มราคาหรือค่าบริการได้

ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การเพิ่มผลิตภาพแรงงาน เป็นสิ่งจำเป็นต่อการรับมือกับโจทย์ที่ต่อเนื่องนี้ โดยภาครัฐอาจพิจารณาการให้แรงจูงใจธุรกิจในการเร่งพัฒนาผลิตภาพแรงงาน เช่น หากผู้ประกอบการสามารถเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานได้ไม่น้อยกว่าอัตราการเพิ่มของค่าแรงขั้นต่ำ จะได้รับการลดหย่อนภาษีหรือแรงจูงใจอื่นๆ

นอกจากนี้ อาจพิจารณามาตรการที่เคยทำในอดีต ได้แก่ การนำส่วนต่างของค่าจ้างที่จ่ายเพิ่มมาหักเป็นค่าใช้จ่ายก่อนชำระภาษี การเพิ่มเพดานค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ.2545 มาหักลดหย่อนภาษีจากเดิมกำหนดไว้ 2 เท่า การลดค่าธรรมเนียมห้องพักที่เรียกเก็บสำหรับโรงแรม/ที่พักแรม เป็นต้น นอกจากนี้ การสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถปรับใช้เทคโนโลยีด้วยต้นทุนที่ต่ำลง ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่ง

นอกจากโจทย์ต้นทุนการดำเนินธุรกิจแล้ว การท่องเที่ยวยังมีโจทย์สำคัญด้านนโยบายการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ชัดเจน อาทิ

– การพัฒนาผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยว ที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม และการใช้จ่ายต่อทริปของนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น

– การผลักดันนโยบายการท่องเที่ยวไปยังเมืองรอง เพื่อกระจายรายได้สู่เมืองท่องเที่ยวรอง

– โจทย์ด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งภาครัฐคงต้องเร่งสนับสนุนผู้ประกอบการท่องเที่ยวให้พัฒนาการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ESG) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 พ.ค. 66)

Tags: , ,