แนวโน้มหุ้นไทยเช้าแกว่งไซด์เวย์อิงบวก รับแรงหนุนราคาน้ำมันขึ้น-ดอลลาร์อ่อนค่า

นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ อิงบวก ตามตลาดหุ้นทั่วโลกที่ขึ้นทำนิวไฮ โดยตลาดภูมิภาคเช้านี้ส่วนใหญ่แกว่งบวก และราคาน้ำมันปรับขึ้น-เงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าหนุน Fund Flow ดีขึ้น อีกทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศดีขึ้น หนุนหุ้นในกลุ่มเปิดเมือง จับตาการประชุมครม.วันนี้ พร้อมให้แนวรับ 1,620 แนวต้าน 1,635-1,640 จุด

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ อิงบวก ตามตลาดหุ้นทั่วโลกที่ขึ้นทำจุดสูงสุด โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนบวก ประกอบกับราคาน้ำมันก็ปรับตัวขึ้นด้วย และเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่เริ่มอ่อนค่าน่าจะทำให้ทิศทาง Fund Flow ดีขึ้น

นอกจากนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น น่าจะช่วยหนุนหุ้นในกลุ่มเปิดเมือง (Reopening) ได้ อย่างไรก็ดี ให้ติดตามการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันนี้ว่าจะมีมาตรการอะไรออกมาอีกหรือไม่ และพรุ่งนี้ติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯที่ออกมาในวัพรุ่งนี้เช่นกัน รวมถึงติดตามการปรับน้ำหนักของ MSCI ด้วย

พร้อมให้แนวรับ 1,620 จุด ส่วนแนวต้าน 1,635-1,640 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

– ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (8 พ.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,432.22 จุด เพิ่มขึ้น 104.27 จุด (+0.29%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,701.70 จุด เพิ่มขึ้น 4.17 จุด (+0.09%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,982.36 จุด เพิ่มขึ้น 10.77 จุด (+0.07%)

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 50.5 จุด หรือ +0.17%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 189.50 จุด หรือ +0.76% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 8.48 จุด หรือ +0.24%

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (8 พ.ย.)1,626.13 จุด ลดลง 0.09 จุด (-0.01%)

– นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,539.21 ล้านบาท เมื่อวันที่ 8 พ.ย.64

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (8 พ.ย.) ปิดที่ระดับ 81.93 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 66 เซนต์ หรือ 0.8%

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (8 พ.ย.) อยู่ที่ 7.29 ดอลลาร์/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 32.90 แข็งค่ารอบ 3 สัปดาห์จากเงินไหลเข้า ให้กรอบวันนี้ 32.80-33.05

– รัฐบาลใจชื้น เปิดประเทศ 7 วันนักท่องเที่ยวทะลัก แถมส่วนใหญ่ปลอดเชื้อโควิด ททท.คาด 2 เดือนสุดท้ายแห่เข้าเดือนละ 3 แสน ขณะที่ “บิ๊กตู่” ปลื้มสื่อนอกตีข่าวไทยฉีดวัคซีนอันดับ 18 จาก 184 ประเทศทั่วโลก พร้อมสั่ง สธ.เร่งเจรจาซื้อยารักษาโควิดชนิดกิน “แพกซ์โลวิดโมลนูพิราเวียร์” ด้านกรมการแพทย์สำทับข่าวดีจ่อนำเข้าไทยได้ช่วงต้นปีหน้า

– ร้อยตรีจักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เผยสถานการณ์ราคาน้ำมันปาล์มขวดเพื่อการบริโภคราคาแพง ว่า จากการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบร้านค้าในระบบส่วนใหญ่พบว่าน้ำมันปาล์มขวดขึ้นมาอยู่ที่ขวดละ 49-55 บาท แต่ยังไม่ถึงขวดละ 60 บาท ซึ่งในเร็วๆ นี้ กรมจะประชุมร่วมกับผู้ผลิตน้ำมันปาล์ม ห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีกค้าส่ง เพื่อขอความร่วมมือตรึงราคาขายไม่ให้กระทบค่าครองชีพประชาชนและให้จำหน่ายในราคาสอดคล้องกับต้นทุน ไม่ให้ฉวยโอกาสขึ้นราคา รวมถึงขอให้มีสต๊อกให้เพียงพอ “ราคาที่สูงขึ้นถือว่ามีการปรับขึ้นตามราคาผลปาล์มสดและน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นตาม เพราะในทุกเดือน พ.ย. ผลผลิตปาล์มออกมาน้อย ทำให้ผลปาล์มสดราคาสูงขึ้น ประกอบกับกระทรวงพาณิชย์มีนโยบายควบคุมอย่างเข้มงวดไม่ให้ลักลอบนำเข้าจากเพื่อนบ้าน และรัฐสนับสนุนนำน้ำมันปาล์มไปผลิตไบโอดีเซล จึงทำให้ราคาอยู่ในระดับสูง

– นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน ต.ค. ว่า ค่าดัชนีฯ อยู่ที่ 82.1 ปรับขึ้นจากเดือน ก.ย. ที่อยู่ที่ระดับ 79.0 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และเป็นค่าดัชนีฯ ที่สูงสุดในรอบ 5 เดือน นับจากเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ 95.0 ปรับขึ้นจากเดือน ก.ย. ที่อยู่ระดับ 93.0 ถือเป็นค่าดัชนีเชื่อมั่นสูงในรอบ 19 เดือน นับตั้งแต่ เม.ย. 2563

– นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ พร้อมรับฟังข้อเสนอของสมาคมกุ้งตะวันออกไทย ที่แสดงความกังวล การนำเข้ากุ้งจะกระทบต่อการผลิตและทำให้ราคากุ้งในประเทศตกต่ำ ไม่มีเสถียรภาพ มีความเสี่ยงเรื่องโรคที่ติดมากับกุ้ง รวมถึงปัญหาคุณภาพความปลอดภัย การปนเปื้อนของสารเคมีต้องห้ามและยาปฏิชีวนะ ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งในประเทศไทยและภาพลักษณ์ของกุ้งไทย พร้อมเสนอให้ภาครัฐมีมาตรการควบคุมการนำเข้ากุ้งที่เข้มงวด

– อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เผยขณะนี้มีชาติสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) ให้สัตยาบันครบตามที่ความตกลงกำหนดไว้ ประกอบด้วย อาเซียน 6 ประเทศ ได้แก่ บรูไน กัมพูชา ลาว สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม และนอกอาเซียน 4 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์ ทำให้ความตกลงอาร์เซ็ป จะมีผลใช้บังคับตั้งแต่ 1 ม.ค.65 เป็นต้นไป

หุ้นเด่นวันนี้

– PIN (บมจ.ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สังกัดกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมีราคาขาย IPO 3.90 บาท/หุ้น บล.ฟินันเซีย ไซรัส (เป็นผู้จัดจำหน่ายฯ) ประเมินราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 5.15 บาท โดยคาดกำไรปี 2565 +49% Y-Y ทั้งนี้ บริษัทฯเป็นผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมที่มีจุดเด่นด้านทำเลที่ตั้งในเขต EEC ปี 2563-2564 ถูกกระทบจากล็อกดาวน์ แต่คาดกำไรกำลังเข้าสู่วัฏจักรการเติบโตอีกครั้งหลังเปิดเมืองและการเปิดให้บริการ PIN6

– AOT (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า 78 บาท ได้ประโยชน์โดยตรงจากการเปิดประเทศของไทยเริ่ม 1 พ.ย. และกลุ่มท่องเที่ยวได้ข่าวดีเพิ่มเมื่อไฟเซอร์ประกาศผลการทดลองยาเม็ดต้านไวรัสโควิด-19 ช่วยลดความรุนแรงและโอกาสในการเข้าโรงพยาบาลได้สูงถึง 89% และมีปัจจัยบวกเฉพาะตัวหลังตลาดไม่นำเกณฑ์ Free float มาร่วมคำนวณดัชนีทำให้ AOT ไม่ถูกลดน้ำหนักจาก Free float ที่อยู่ในระดับต่ำ

– JWD (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ”เป้า 23 บาท คาดกำไรปกติ Q3/64 +13% Q-Q, +65% Y-Y ท่ามกลางการล็อกดาวน์ทั้งในไทยและในหลายประเทศในเอเชีย ซึ่งกระทบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์และการขนส่งทางราง แต่ชดเชยได้จากความแข็งแกร่งของธุรกิจห้องเย็น ธุรกิจอาหาร ธุรกิจ Barge ธุรกิจ Self-storage และการรับรู้รายได้จาก VNS เต็มไตรมาสเป็นไตรมาสแรก แนวโน้ม Q4/64 ยังน่าจะเดินหน้าทำสถิติสูงสุดต่อ โดยคงประมาณการกำไรสุทธิปี 64 โตก้าวกระโดด +73% Y-Y และเร่งตัวต่อตั้งแต่ปี 65 จากการเก็บเกียวธุรกิจที่ได้เข้าร่วมลงทุนหลายโครงการในปี 64 พร้อมให้แนวรับ 14.80-15 ถัดไป 14.50 บาท แนวต้าน 15.40-15.60 บาท

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 พ.ย. 64)

Tags: , ,