CGS คาด SET สัปดาห์นี้แกว่งในกรอบ 1,625-1,655 จุด จับตางบแบงก์-ตัวเลขส่งออกไทย

บล.คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) คาด SET สัปดาห์นี้จะแกว่ง Sideway ในกรอบ 1,625-1,655 จุด โดยคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาสหรัฐได้รายงานยอดค้าปลีก +0.7% MoM ดีกว่าตลาดคาด -0.2%MoM ส่งผลให้ตลาดหุ้น Dow Jones ปิดบวก 1.1% ตอบรับเชิงบวกต่อตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดีรวมถึงผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสหรัฐที่ออกมาดีกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ (Goldman Sachs) ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปีปรับตัวขึ้น

อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตคือ ตลาดหุ้นกลับไม่กังวลใดๆกับการเร่งตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร บ่งชี้ได้ว่าตลาดเริ่มให้น้ำหนักการเร่งตัวของเศรษฐกิจหรือกำไรบริษัทจดทะเบียนในระยะถัดไปจะสูงกว่าเงินเฟ้อ ระยะสั้นเป็นจิตวิทยาเชิงบวกมายังตลาดหุ้นไทย

ส่วนปัจจัยสัปดาห์นี้

1.การรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3/64 ของประเทศไทย Bloomberg ประเมินว่าจะมี (BBL KBANK KKP KTB SCB) หากอิง TISCO ที่รายงานในสัปดาห์ก่อนเชิงกำไรสุทธิถือว่าใกล้เคียงตลาดคาด แต่สิ่งที่นักลงทุนค่อนข้างเป็นกังวลคือหนี้เสียและการตั้งสำรองที่อาจสูงผลกระทบจากการระบาดโควิด-19 อย่างไรก็ตามพบว่าการตั้งสำรองอยู่ที่ 254 ล้านบาท (-55%QoQ -58%YoY) ด้าน NPL เร่งขึ้นมาอยู่ที่ 2.98% จากไตรมาส 2/64 และ ไตรมาส 3/63 ที่ 2.7% และ 2.6% ตามลำดับ แต่เชื่อว่าไม่น่ากังวลเนื่องจาก สภาพเศรษฐกิจจะค่อยๆฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4/64 เป็นต้นไป ดังนั้นคาดหวังว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่จะรายงานในสัปดาห์นี้ทิศทางเชื่อว่าจะคล้ายกับ TISCO (เป็นกลาง – บวกเล็กน้อย ต่อทิศทางการลงทุน)

2. ตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของไทยคาดจะรายงานในวันพุธ หรือ พฤหัสบดี Bloomberg คาดมูลค่าส่งออกและนำเข้าขยายตัว 12%YoY และ 33.3%YoY พร้อมคาดดุลการค้าจะขาดดุลราว 1.1 พันล้านบาท ทั้งนี้หากอัตราการขยายตัวออกมาดีกว่าคาดมองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อการลงทุน และหากดุลการค้าขาดดุลน้อยกว่าตลาดคาดอาจส่งผลให้เงินบาทกลับมาแข็งค่า เป็นบวกต่อเม็ดเงินต่างชาติ

3. วันจันทร์จีนมีกำหนดรายงาน GDP ไตรมาส 3/64 Bloomberg คาด +5%YoY หากออกมาดีกว่าคาดอาจเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อการลงทุน จากปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้เราเชื่อว่า SET จะแกว่ง Sideway ในกรอบ 1,625-1,655 จุด

กลยุทธ์การลงทุน คงคำแนะนำถือ Domestic Play ต่อเนื่องจากที่แนะสะสมมาตลอด ส่วนการ Trading ระยะสั้นยังให้ Domestic เป็น Theme หลักแต่ต้องเน้นเลือกหุ้นมากขึ้น เนื่องจากราคาหุ้นหลายตัวสะท้อนปัจจัยบวกไปพอสมควร โดยแนะ Laggard อย่างค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK) รถไฟฟ้า (BTS BEM) โรงภาพยนตร์ (MAJOR) สื่อนอกบ้าน (PLANB VGI) ศูนย์การค้า (CPN) พร้อมแนะทยอยสะสม SCGP เช่นเดิม

  • BGC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 11.8 บาท) บริษัทจะได้รับเงินสดจำนวน 608 ล้านบาทหลังจากข้อตกลงเสร็จสิ้น และคงสัดส่วนการลงทุน 19.97% ใน BGE โดยได้ผลตอบแทนรูปเงินปันผลนับตั้งแต่ไตรมาส 4/64 เป็นต้นไป ปรับคำแนะนำจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ” สะท้อนโอกาสปรับประมาณการกำไรและมูลค่าเหมาะสมหลังดีลแลกหุ้นเสร็จสิ้น
  • M (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 61 บาท) คาดว่า M จะรายงานผลขาดทุนสุทธิ 210 ล้านบาทในไตรมาส 3/64 จากขาดทุนสุทธิ 99 ล้านบาทในไตรมาส 2/64 และกำไรสุทธิ 465 ล้านบาทในไตรมาส 3/63 จาก SSSG ที่คาดว่าจะติดลบราว -40%-50% จากการห้ามขายอาหารแบบนั่งรับประทานในร้าน แต่เราคาดว่าจะเป็นการขาดทุนไตรมาสสุดท้ายและเป็นจุดต่ำสุดของปี 64

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ต.ค. 64)

Tags: , , , , ,