DEXON เปิดเทรดวันแรก 4.56 บาทลุยขยายธุรกิจยุโรป-สหรัฐตอกย้ำผู้นำเทคโนโลยีตรวจสอบขั้นสูง

นางมัลลิกา แก่กล้า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เด็กซ์ซอน เทคโนโลยี (DEXON) เปิดเผยว่า หุ้น DEXON เปิดทำการซื้อขายวันแรกที่ 4.56 บาท จากราคาจองซื้อที่ 4.50 บาท ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากพื้นฐานธุรกิจที่มีความแข็งแกร่งด้วยความเป็นหนึ่งในผู้นำงานตรวจสอบท่อโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และโอกาสในการเติบโตของธุรกิจในอนาคตที่สดใสทั้งในประเทศเนเธอร์แลนด์ (ทวีปยุโรป) และสหรัฐอเมริกา

การระดมทุนในครั้งนี้บริษัทมีแผนที่จะใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนราว 554 ล้านบาทสำหรับการขยายธุรกิจไปยังประเทศเนเธอร์แลนด์ (ทวีปยุโรป) รวมถึงสหรัฐอเมริกา โดยเน้นให้บริการตรวจสอบทางวิศวกรรมระบบท่อด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง (Smart Pigging Technology) ที่มีคู่แข่งในตลาดน้อยราย โดยเฉพาะการตรวจสอบรอยแตกขนาดเล็กในระบบท่อส่งที่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษที่มีเทคโนโลยีสูงที่บริษัทพัฒนาขึ้น (Hawk Pipeline Crack Detection and Measurement System), ลงทุนในงานวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า และการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม

เช่น การเปลี่ยนไปสู่พลังงานสะอาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ, การตรวจสอบระบบท่อส่งเพื่อรองรับการแปลงไปสู่การใช้งานของก๊าซไฮโดรเจน (Hydrogen Energy Conversion) ที่จะเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ในระบบท่อส่งจากเดิมเป็นน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ เป็นการขนส่งก๊าซไฮโดรเจน การดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage : CCS) เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

รวมทั้งชำระเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน รวมถึงเป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งถือเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัท และสร้างโอกาสในการแข่งขันให้กับบริษัท

นายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่ายหุ้นของ DEXON เปิดเผยว่า DEXON ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนสะท้อนให้เห็นถึงความน่าสนใจของบริษัทฯ และนักลงทุนรับรู้ถึงปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจที่มีศักยภาพ และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง รวมถึงมีโอกาสในการขยายธุรกิจเพื่อการเติบโตในอนาคต

ขณะที่ผลประกอบการของ DEXON ในปี 63-65 บริษัท และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขาย และบริการ 438.97 ล้านบาท 433.46 ล้านบาท และ 608.51 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 11.04 ล้านบาท 18.15 ล้านบาท 105.15 ล้านบาท ตามลำดับ

รายได้ในปี 65 เพิ่มขึ้น 175.04 ล้านบาท เติบโต 40.38% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 64 และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 87 ล้านบาท เติบโต 479.33% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 64 เนื่องจากลูกค้าต่างประเทศเป็นหลักตามสถานการณ์ COVID-19 ที่ผ่อนคลายและบริษัทสามารถเดินทางไปให้บริการในต่างประเทศได้มากขึ้น โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจจะเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากที่เผชิญวิกฤต COVID-19 มาตั้งแต่ปี 63

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 มี.ค. 66)

Tags: , , ,