SAM ต่ออายุมาตรการ “จ่ายเท่าที่ไหว” ถึง ธ.ค.64 ทุบดอกเบี้ยเหลือ 5%

นายธรัฐพร เตชะกิจขจร กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM เปิดเผยว่า กลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ระลอก 3 “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” ได้ต่ออายุมาตรการ “จ่ายเท่าที่ไหว” ไปจนถึงเดือน ธ.ค.64 ซึ่งลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ จะได้รับส่วนลดดอกเบี้ย 1-2% ในช่วงเดือน ก.ค.-ธ.ค. 64 แบ่งออกเป็น 1. ลูกค้าที่ชำระเกินกว่า 80 % ของค่างวดในแต่ละเดือน จะได้รับส่วนลดดอกเบี้ย 2% และ 2.ลูกค้าที่ชำระเกินกว่า 40% แต่ไม่ถึง 80% ของค่างวดในแต่ละเดือน จะได้รับส่วนลดดอกเบี้ย 1%

“นับว่าเป็นความพิเศษของมาตรการ ที่ผ่อนปรน และให้โอกาสคนที่เป็นหนี้เสียบัตร สามารถเลือกผ่อนชำระได้ตามความสามารถที่แท้จริง และกลับไปดำเนินชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องหนีหรือออกจากโครงการ ซึ่งอาจนำไปสู่การฟ้องร้อง หรือปัญหาทางด้านหนี้สินที่ยืดเยื้อในอนาคต” นายธรัฐพร กล่าว

อย่างไรก็ตาม หากลูกค้าที่ได้เข้ามาตรการ “จ่ายเท่าที่ไหว” พบว่าไม่สามารถผ่อนชำระได้ในอัตราที่ตกลงตามสัญญา “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” เข้าใจในสถานการณ์ และขอเป็นกำลังใจให้ลูกค้าทุกคน แต่ขอย้ำให้พยายามจ่ายชำระเท่าที่จ่ายไหวและจ่ายตามกำหนดอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องทุกเดือน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการปฏิบัติตามสัญญาการปรับโครงสร้างหนี้และเพื่อประโยชน์ของลูกค้าเองในการคงสถานะการเป็นลูกค้าของ “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” ได้ต่อไป

นอกจาก มาตรการดังกล่าวแล้ว โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM ยังปรับอัตราดอกเบี้ยเป็นอัตราเดียว (Single Rate) เหลือเพียง 5% ต่อปี ซึ่งเป็นดอกเบี้ยต่ำที่สุดในระบบ เทียบกับดอกเบี้ยบัตรปกติอยู่ที่ 15-25% โดยข้อดีของการเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM มีหลายประการ ได้แก่ 1.ไม่ถูกทวงถามจากเจ้าหนี้หลายราย 2.แก้ไขหนี้หลายรายได้ครบ จบในที่เดียว 3.ทำสัญญาแก้หนี้เพียงฉบับเดียว 4.ผ่อนสบาย ๆ ตามตารางชำระหนี้ และ 5.ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 10 ปี

สำหรับคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้สนใจสมัครเข้าร่วม โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM ดังนี้ คือ เป็นบุคคลธรรมดาที่มีรายได้ มีอายุไม่เกิน 70 ปี มียอดหนี้รวมกันไม่เกิน 2 ล้านบาท และเป็นหนี้เสียก่อน 1 กุมภาพันธ์ 2564 และเพื่อความรวดเร็วในการพิจารณาผลการสมัคร ตามแนวคิด “เอกสารครบ-จบไว” ควรเตรียมเอกสารสำคัญประกอบการสมัคร ดังนี้ 1. สำเนาบัตรประชาชน 2. สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 1 เดือน หรือหนังสือรับรองเงินเดือน (กรณีผู้มีรายได้ประจำ) / รายการเดินบัญชี (Statement) อย่างน้อย 3 เดือน หรือหนังสือรับรองรายได้ (กรณีอาชีพอิสระ) 3. เอกสารรายงานเครดิตบูโร

อนึ่ง ตั้งแต่เดือน ต.ค.63 ถึงปัจจุบัน สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้คนจำนวนมากขาดรายได้และมีปัญหาการชำระหนี้ จากข้อมูลของกรมบังคับคดี มีคดีแพ่งเข้าสู่ชั้นศาลสูงถึง 1.3 แสนคดี โดยพบว่าส่วนใหญ่เป็นคดีหนี้บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อเช่าซื้อรถ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลเร่งออกมาตรการแก้ปัญหาหนี้สินให้ประชาชนหลายกลุ่ม ทั้งงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ โครงการรวมหนี้ มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ระยะ 3 ทางด่วนแก้หนี้ หมอหนี้เพื่อประชาชน และหนึ่งในนั้น คือ การแก้ปัญหาหนี้บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีอยู่ถึง 49.9 ล้านบัญชี

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ผลักดันให้มีการช่วยเหลือลูกหนี้ให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ด้วยการจัดตั้งโครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM ให้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือลูกค้าที่เป็นหนี้เสียบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ของธนาคารพาณิชย์และผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน (Non-Bank) ที่ค้างจ่ายหรือไม่ได้จ่ายหนี้บัตรเกินกว่า 90 วัน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ก.ย. 64)

Tags: , , , , ,