SO วางกลยุทธ์โตต่อเนื่องทั้งกำไร-รายได้,มองโอกาส M&A-JV ต่อยอดธุรกิจ

นายณัฐพล วิมลเฉลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สยามราชธานี (SO) เปิดเผยว่า ภายหลังจากเข้ามาทำหน้าที่ CEO ได้วางเป้าการเติบโตของ SO ให้เป็นบริษัทที่สามารถสร้างการเติบโตใน 2 ส่วนไปพร้อมกันทั้งกำไรและรายได้ โดยในแง่ของกำไร บริษัทจะดำเนินการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ส่วนด้านรายได้จะมีการมองหาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ หรือหาพันธมิตรทางธุรกิจเข้ามาเพิ่มขึ้นเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ มานำเสนอกับลูกค้า โดยจะเน้นการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ประกอบด้วย

บริษัทวางเป้ากำไรสุทธิในปีนี้จะเติบโตเป็น 150-160 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 139.55 ล้านบาท หลังจากครึ่งปีแรกสามารถทำกำไรได้แล้วราว 83.17 ล้านบาท ขณะที่แนวโน้มในไตรมาส 3/64 และไตรมาส 4/64 คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องด้วยปัจจุบันบริษัทมีสัญญาใหม่ในมือแล้วกว่า 600 สัญญา จากลูกค้าที่เพิ่มขึ้น 200-300 ราย โดยสิ้นสุด ณ ไตรมาส 2/64 อยู่ที่ 1,800 ราย จากไตรมาส 1/64 อยู่ที่ 800 ราย

นอกจากนี้ บริษัทยังมองโอกาสการเข้าซื้อกิจการ (M&A) และร่วมลงทุน (JV) เพิ่มเติม เนื่องจากบริษัทมองการเติบโตในอนาคตจะมาจาก Inorganic growth มากขึ้น โดยมีความสนใจในธุรกิจ ได้แก่ 1.Outsourcing ที่จะเข้ามาเสริมศักยภาพการให้บริการได้อย่างครอบคลุมทุกความต้องการได้มากขึ้น 2.การลงทุนในเทคโนโลยี หรือ นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเข้ามาหนุนความคล่องตัวให้กับธุรกิจ และ 3. Professional Training เป็นศูนย์อบรมให้ความรู้แก่พนักงาน

นายณัฐพล เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการคัดเลือกผู้ตรวจสอบบัญชี (Auditor) และ ที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) เพื่อดำเนินการ Due diligence ในกลุ่มงานของ IT Outsourcing คาดจะเห็นความชัดเจนได้ในปี 65

และวางเป้าหมายในอนาคต 3-5 ปี บริษัทฯ ต้องการทำให้ Professional Training ใหญ่ขึ้นหรือมีรายได้เติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก รวมถึงต้องการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากแพลตฟอร์ม ระบบเอกสาร ซอฟแวร์ต่างๆ ที่บริษัทพัฒนาเพิ่มเป็น 10% ของรายได้รวม เป็นต้น

“ที่ผ่านมาการทำงานแต่ละยุคสมัยย่อมมีความท้าทายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันทั้งเรื่องการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่เข้ามาทำให้ทุกอย่างไว รวดเร็ว และทันต่อสถานการณ์ รวมถึงการสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นกับทั่วโลกและมีผลกระทบกับทุกส่วน ทำให้มองว่าสยามราชธานียังต้องปรับกระบวนการทำงานที่ต่อเนื่องหลังจากเริ่มทำดิจิทัลทรานฟอร์เมชั่นมา 2-3 ปี แล้ว โดยจะเน้นการทำงานแบบกระจายศูนย์ (Decentralize) ที่ให้อำนาจผู้บริหารแต่ละส่วนสามารถบริหารจัดการงานเองได้ ไม่ต้องผ่านซีอีโอหมดทุกเรื่อง รวมถึงใช้กระบวนการทำงานแบบ Agile ที่จะช่วยลดขั้นตอนการทำงานให้เกิดความคล่องตัวมากขึ้น ทั้งหมดนี้เพื่อที่จะเตรียมตัวให้บริษัทพร้อมเติบโตแบบสเกลอัพได้ทุกเวลา”

นายณัฐพล กล่าว

จุดแข็งของ SO คือ การที่สามารถรวม ซอฟท์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และบุคลากรไว้ด้วยกันทั้งหมด ซึ่งทำให้ช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ลูกค้าได้หลายโซลูชั่น อีกทั้งปัจจุบันบริษัทยังมีลูกค้าที่มั่นคง ทั้งที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และเป็น Multi Company ที่มีมาตรฐานสูงรวมกว่า 600 สัญญา ส่งผลให้ SO สามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากลูกค้ามาพัฒนาไปพร้อมๆ ไปกับคู่ค้าได้เลย

ทั้งนี้ หากดูจากตัวเลขตลาดแรงงานไทยที่อยู่ในระบบประกันสังคม จากสถิติเมื่อปี 62 พบว่ามีจำนวนแรงงานอยู่ที่ประมาณ 16 ล้านคน หากคิดเป็นส่วนแบ่ง 10% ของตลาดแรงงานทั้งหมด จะเท่ากับว่า SO จะมีตลาดแรงงานเอาท์ซอร์สอยู่ที่ 1.6 ล้านคน ซึ่งถือว่ายังคงเป็นตลาดที่ยังโตและไปได้ดีในอนาคต

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ก.ย. 64)

Tags: , , ,